"ซวยชิบหาย"
ลี่บ่นกับแม่ตอนนั่งอยู่บนรถ
" เบญจเพศอายุ 25 เเม่ง ป่วย แพ้ยาเข้าโรงบาล ยายก็ตาย นึกว่าจะไม่โดนอะไรกับเค้าแล้วนะ"
" ยายมึงตาย แล้วเกี่ยวอะไรกับมึงอายุ 25 วะ" แม่กล่าว
" ....."
เย็นวันที่เขียน Blog เรื่องเบญจเพศว่า เห้ย กูไม่โดนอะไร ผีไม่หลอก ญาติไม่ตาย
ห่า
พอเขียนจบ เย็นวันนั้นไข้ขึ้น ไม่จาม ไม่ไอ แต่นั่งหนาว ตัวร้อน ขึ้นๆลงๆ ตัวสั่นอยู่ในห้องประชุมคนเดียว ทั้งๆที่คนอื่นดูสบายดี
แล้วสักพักก็มีเหมือนจุดเลือดเล็กๆขึ้นใต้ผิว
เสร็จละกู ไข้ขึ้นๆลงๆมาวันสองวันละ วันนี้มีจุดเลือดใต้ผิวแบบนี้ ไข้เลือดออกชัวร์ พอดีช่วงนั้นข่าวพี่ปอ ทฤษฎีป่วยหนักด้วย ( หลังจากนั้นพี่ปอก็เสียชีวิต ขอแสดงความอาลัยมา ณ ที่นี้ พี่แม่งเป็นคนดี เกิดมาไม่เสียชาติมนุษย์) แล้วเราเองก็เคยเป็นมาแล้วครั้ง หรือ สองครั้งไม่แน่ใจ ยิ่งต้องรีบหาหมอ เพราะกลัวจะรุนแรง
ไปถึง รพ. หมอบอกเป็นไปได้ แต่อาจจะไม่ใช่ ให้กลับบ้าน อีกสองวันค่อยมาตรวจเลือด ...
ห๊ะ .... กูตัวร้อนขนาดนี้ ผื่นแดงทั่วตัวขนาดนี้ แม่งใจเย็น ให้กลับบ้าน ไม่ถาม ไม่คุยอะไรกับกู ไม่ถามว่ากูกินยาอะไรอยู่มั้ย ต้องบอกเอง ต้องนั่งนึกเอง แล้วพูดออกไปเอง
สิ่งที่หมอทำคือสั่งตรวจเลือด ไม่ตรวจเชื้อ specific แต่ให้ตรวจเลือดและบอกว่ามีไวรัสหรือแบคทีเรียในเลือด อันนี้พอเข้าใจได้ ว่าตรวจไปก็เปลืองตัง รอดูอาการไปก่อน ( หรือเปล่าวะ คือต้องรออาการหนักๆสัก สามวันก่อนหรอถึงตรวจได้ ใครรู้อธิบายทีจ้า ) แต่ก็ งง ว่า แล้วที่ตรวจเฉยๆนี่ก็ไม่เปลืองตังหรอ ก็ต้องจ่ายตังเหมือนกันไม่ใช่หรอ ถามก็ได้นะว่ามีตังป่าว ตังมีนะ ยินดีจ่ายถ้าจะให้รู้ไปเลยว่าเป็นอะไร ไม่อยากรอดูอาการ รู้สึกเสี่ยงมาก
สำหรับเรา การที่หมอจบใหม่เราไม่ได้กังวลอะไรเรื่องนั้นเลย แต่หมอไม่สื่อสารนี่ แย่เลยนะ หมอไม่ถาม หมอไม่อธิบายนี่ คนไข้ก็แบลงค์เหมือนกันนะ เราไปหาท่านด้วยอาการป่วย กลัวตาย กังวลใจ พร้อมจะตอบทุกอย่าง เล่าทุกอย่าง แต่นี่ทำเหมือนว่าเราเป็นอมตะ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ ไม่ตาย ไปซะอย่างนั้น
ตอนนั้นเราก็รู้สึกอยากไว้ใจ เชื่อหมอละกัน ทั้งๆที่ตะหงิดๆในใจมากๆ กลับบ้านพร้อมกับยาพาราและเกลือแร่ รวมทั้งยาแก้อ้วก ทั้งๆที่ไม่ได้มีอาการอะไรเลยที่ต้องกินเกลือแร่กับแก้อ้วก หมอบอก ให้ไว้ เผื่อๆ
เราถามหมอย้ำว่า อาการแพ้ยาหรือเปล่าคะ ยาตัวนี้ๆๆ หมอบอก ไม่ใช่ กินต่อไปเลย
คืนนั้นนอนไม่ได้เลย หนาว ตัวสั่น ตัวร้อน ต้องเอาผ้าชุบน้ำมาแขวนไว้บนเตียงเพื่อเช็ดตัวตลอดทุกชั่วโมง ต้องพยายามกินน้ำเยอะๆ ตื่นเช้ามาไข้ลด ผื่นแดงขึ้นหนักกว่าเดิม เลยตัดสินใจรีบไปหาหมอ ไม่รอให้ไข้ครบสามวัน
เจอหมออีกคน ลักษณะเหมือนกับหมอคนแรกเป๊ะ บอกว่าดูผลเลือดเเล้วน่าจะเป็นส่าไข้ไม่น่าใช่ไข้เลือดออก ให้กลับบ้าน แล้วพรุ่งนี้มาตามนัด
คนไข้ตัวแดงมาก และตัวร้อนขึ้นๆ ลงๆ ตลอดสองวัน หมอบอกส่าไข้ เราก็สงสัย ตัดสินจากอะไร ไหนบอกเหมือนหัด ตัดหัดทิ้งไปแล้วหรอ
กลับบ้านตามหมอบอกอีกรอบ ... ไม่มีอะไรคืบหน้า ... ยกเว้นเรื่องยาที่เรากินอยู่เราก็บอกหมออีกรอบเพราะแม่บอกว่าเหมือนอาการแพ้ยาเหมือนกัน ... แต่หมอบอกไม่ต้องหยุด กินต่อเลย ... เราก็เถียงแม่ว่าหมอบอกว่าไม่ใช่
คืนนั้นเป็นเหมือนเดิม คืออาการไข้สูง นอนไม่ได้เลย ผื่นแย่กว่าเดิม .. เช้าวันที่ 3 กลับไป รพ. ไปตรวจตามนัด ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไข้เลือกออก... หมอเลยสรุปว่าส่าไข้ ให้กลับบ้าน ไม่มียาให้กิน เดี๋ยวมันหายเอง ... พูดแบบไม่มองหน้า ... ไม่มองผื่น ... ไม่ตรวจช่องปากช่องคอ ... ไม่ตรวจช่องคลอด ... ไม่ดูตา ... ไม่มองอะไรเลย มองแต่คอม แม้แต่หน้าเราหมอก็ไม่มอง ...
กล้าพูดเลยว่าหมอไม่มีสปิริตและฝีมือกระจอกมาก ห่วยมาก และเรารู้สึกผสมกับความไม่รับผิดชอบ ทำงานส่งๆ ... รู้สึกแบบนั้นจนต้องบอกพ่อว่า ย้าย รพ. เหอะ ... หนูว่าหมอที่นี่ไม่เอาไหน ไม่รับผิดชอบ ... ไปตรวจเอา second opinion กัน
ออกจากห้องตรวจโรค มีคุณป้าคนนึง ท่าทางโทรมๆ เดินมาคุยด้วย ป้าบอกว่า หนูเอ้ย ไม่ใช่ส่าไข้หรอกลูก นี่แพ้ยา อันตรายนะลูกนะ ....
... วันนั้นก็เลยยังกินยาตัวเดิมที่กินประจำอยู่เพราะกลัวหยุดแล้วจะดื้อยา .... โดยที่ถามหมออีกรอบ ย้ำชัดๆว่า ไม่ใช่แพ้ยาแน่ๆใช่มั้ยคะ
คืนวันนั้น .... อาการแย่กว่าเดิม ตอนเช้า อ่อนแรง กินข้างไม่ได้แล้ว เดิน ตาเบลอไปหมดเเล้ว ... จะตายแล้ว ... น้ากับพี่เลี้ยงตกใจ รีบให้พ่อพาส่ง รพ. เซ็นต์แมร์รี่ ไม่ไป รพ. เดิมแล้ว ....
ไปเซ็นต์แมร์รี่ เจอคุณหมอชาคริต อธิบายไม่ถูก แต่ตอนเจอหมอชาคริต บอกได้คำเดียวว่า กูรอดเเล้ว ต่างจากหมอสองคนที่ รพ.แรก ที่ให้ความรู้สึกว่า กูตายแน่ ถ้ากูเป็นมากกว่าไข้หวัดธรรมดา
หมอถาม หมออธิบาย หมอให้คำปรึกษา ทั้งเรื่องตัวโรค และเรื่องจิตใจ หมอหาทุกความเป็นไปได้ และตรวจดูทั้งหมด เพื่อความชัวร์ โดยกูก็เจาะเลือดครั้งเดียวเหมือนกัน
สรุป หมอชาคริตคิดว่าแพ้ยา!!!!!!!!! สั่งแอดมิททันที และสุดท้ายก็ถูก.... แพ้ยาจริงๆ....
ตั้งแต่รู้ตัวว่าร่างกายผิดปกติ แล้วไปหา รพ. "ผิด" ก็เสียเวลาไป 3 วันครึ่ง ทานยาตัวที่แพ้ไปเพิ่มถึง 7 เม็ด แค้นมากกับคำว่า "แค่" ส่าไข้ "เดี๋ยวก็หาย"
ตั้งสเตตัสว่า ไป รพ.นี้มาแล้วหมอไม่ใส่ใจเลย มีคอมเมนต์มายืนยันความคิดเรา เพียบ! สงสารคนที่ไปหาหมอ คนแก่ คนจน ที่นั่งรอด้วยความหวังจริงๆ
หมอชาคริตพูดถึง steven johnson syndrome ....ด้วย ห่าาา กลุ่มอาการนี้กูเคยเรียน .... สัส ...น่ากลัว... ถ้ากูเป็นนะ ไม่อยากคิด นี่ปากเริ่มเปื่อย เกือบเข้าตาแล้วด้วย
มารู้ทีหลัง ว่าลูกพี่ลูกน้องก็เป็น พ่อก็เป็น ลุงก็เป็น แม่ถึงสงสัยว่าแพ้ยาแต่แรกแล้ว
อยู่ รพ ไปห้าวัน อาการดีขึ้น แต่ต้องเสียเวลา เสียเงิน เสียความรู้สึก เสียโอกาสหลายอย่างมากๆๆๆ แถมยังตัวลายไปแบบนี้อีกเป็นเดือน
#สัส