วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

ติ่งดงบัง

ว่าด้วยความทรงจำวัยเด็ก

นี่คือผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลกของฉันเมื่อ 10 ปีก่อน 5555
ก็ไม่นานนะ



แต่เฮียก็แก่ขึ้นเยอะ อ้วนขึ้นเยอะ หน้าบวม พุงพลุ้ย

จะพูดยังไงดี รักแรกมันยากจะลืมอะเนาะ 5555 ถึงในความจริงเฮียไม่ได้หล่อสุดในโลก แต่ในความทรงจำเฮียก็ยังคงเป็นผช. ที่หล่อที่สุดในโลกสำหรับเราอยู่ดี แม้กระทั่งตอนนี้ที่เราไม่ชอบเกาหลีแล้ว(เข้าขั้นรำคาญ) แถมยังชอบแต่ฝรั่งด้วย เฮียก็ยังติดอยู่ในซอกนึงของหัวใจไม่ไปไหน

คิดถึงสมัยม. ต้นว่ะ สนุกดีนะ ช่วงนั้นดงบังแม่งพีคมาก ชีวิตเราก็มีแต่ดงบังๆทั้งวันทั้งคืน เรียกว่าแก่มาด้วยกัน

แต่ก่อนมโนนะ ว่าเห้ยยยย ชั้นอยากครอบครองเค้า 5555 แต่พอโตขึ้น รู้สึกเฉยๆ ยังอยากเจออยู่ แต่ไม่อยากได้ เเค่อยากนั่งคุย แนะนำตัว ถามสารทุกข์สุกดิบ เหมือนเพื่อนที่เราติดตามผลงานเค้าอยู่ช่วงนึง รู้จักเค้าอยู่ช่วงนึง เคยคิดนะ ว่าถ้ารู้จักกันขึ้นมาจริงๆ เราจะรู้สึกดีกับเค้าแบบนี้อยู่หรือเปล่า

สมัยนู้นถ้าดงบังมาไทยนี่วิ่งตามไม่คิดชีวิต กรี๊ดแทบบ้า แต่ตอนนี้เดินสวนกันคงแค่มองๆยิ้มๆ

แต่ก็ยังคิดถึงนะ เวลาคิดถึงดงบัง อาจจะไม่ได้คิดถึงแต่ดงบัง แต่คิดถึงความทรงจำรวมๆตอนนั้น อันประกอบขึ้นด้วย เพลง เพื่อน(ซิป หยก )  พ่อแม่ บลาบลา 
เป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้บางอย่าง
การเติบโตนี่น่าประหลาดเนาะว่ามั้ย อีกสองสามเดือนหลังจากนี้ เราอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนก็ได้ 

สิบปีก่อนกับตอนนี้เราต่างกันมาก เพื่อนๆที่เป็นติ่งดงบังด้วยกันกับเราตอนนั้นก็คงโตขึ้นมากเช่นกัน ตอนนั้น 13-14 ตอนนี้ 25 !!  

ส่วนสมาชิกดงบัง 5 คนก็คงโตขึ้นด้วยเช่นกัน ตอนนั้น 19- 20 ตอนนี้ 29-30  กันแล้ว  !!! เห้ยยยย ต่างมากนะ เด็กอายุ 19 กับผู้ใหญ่อายุ 30  

มีโอกาสก็อยากนั่งคุยทำความรู้จักกันจริงๆนะ อยากถามว่า ตอนนู้นนน ในฐานะศิลปินที่ถูกกรี๊ดเค้าเป็นใคร เค้ารู้สึกอะไร คิดอะไร เปรียบเทียบกับเราเองตอนนู้นในฐานะเเฟนคลับ  แล้วทั้งสองฝั่งเติบโตไปในทางไหน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ใครรู้จักนิชคุณก็ช่วยเเนะนำให้หน่อยนะ เผื่อนิชคุณจะแนะนำให้เรารู้จักกับดงบังได้ ห้าๆๆๆๆๆ






สึส เบญจเพศ #2 !! - มนุษย์เป็นอมตะ

ออกจาก รพ มา นอนซมอยู่บ้าน

เย็นวันต่อมา ขณะกำลังนอนซมๆอยู่บนห้องก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างล่าง จึงรีบวิ่งลงมา

ยายกำลังจะตาย... เพื่อนบ้านทั้งแก่ทั้งหนุ่มทั้งสาวก็มาดูใจกันเต็มบ้าน


ตกใจมาก ทำตัวไม่ถูกอย่างแรง

ยายฮวย ... นอนเป็นผักมาเกือบ 10 ปี ซึ่งเป็นผลจากโรคอัลไซเมอร์

ยายนอนตั้งแต่เรา 15 แต่ก่อนหน้านั้นก็ป่วยมาก่อนแล้วเป็นปี

เอาจริงๆ เราจำอะไรเกี่ยวกับยายไม่ค่อยได้เลย ยายเป็นคนดุและ difficult มาก จำได้แบบนั้น แล้วก็ไม่สนิทเท่าไร
แต่ก็มีบางความทรงจำที่นึกออก ยายเป็นคนขยัน... ทำนู่นทำนี่ตลอด ทำนา ทำไร่ ปลูกผัก บลาบลา ยายชอบพาไปรดน้ำผัก เก็บกระเจี๊ยบ เก็บละมุด มะม่วง อะไรก็ว่าไป บางทีก็ไปส่งไมโลยายตอนยายจำศีลที่วัดบ้าง แต่ไม่ค่อยมีโมเมนต์พาเล่นอะไรเท่าไรแล้วก็ถูกยายดุบ่อยๆ ถ้าการเล่นสนุกจะเป็นตาพาทำมากกว่า

เหตุที่ยายเป็นคน difficult อาจเป็นเพราะยายเป็นพี่สาวคนโต ต้องดิ้นรนมากๆ แล้วยังต้องเลี้ยงน้องๆอีก แล้วพอมีลูก ก็ต้องหาเลี้ยงลูกห้าคน

แต่ช่วงที่เราโตเป็นวัยรุ่น ช่วงที่เรานิสัยเ-ี้ยที่สุดในชีวิต เอาแต่ใจตัวเอง โวยวาย ทะเลาะกับทุกคนตลอดเวลา ทั้งกับตา กับยาย กับแม่ ทำให้เราสูญเสียช่วงเวลาสุดท้ายที่จะมีความทรงจำดีๆกับยายไป ( ไม่ใช่กับยายคนเดียวหรอก กับทุกคนแหละ )   ... เจ็บนะ ... เกลียดตัวเองมากเลย

ยายอาการทรุด จนทำอะไรไม่ได้ สมองฝ่อไปหมด นอนนิ่งๆ ขยับหัวขยับตาไปมา ไม่รับรู้อะไร ต้องให้อาหารทางสายยาง ใส่ออกซิเจน เราว่าน่าจะเจ็บนะ  ใส่แพมเพิร์สคงอึดอัดมาก นอนเฉยๆคงสิ้นหวังมาก เรารู้สึกมานานแล้วนะ ว่าอยากให้ยายตาย ... เราสงสารยายมากๆ แต่เข้าใจน้า ป้า แม่ นะ ใครจะทิ้งแม่ตัวเองให้ตายไปง่ายๆ สามคนนี้ทำหน้าที่ลูกเต็มที่มากๆๆๆๆๆ ทำด้วยตัวเองด้วย มากจนเราไม่รู้ว่าเราจะทำได้แบบนี้มั้ย

จนกระทั่งวันนี้ที่น้าเราเอาออกซิเจนเอาสายอาหารออกให้ยาย เรารู้สึกโล่งแทนจริงๆ  ป้าเราก็เปิดพระให้ยายฟัง  แล้วยายก็ไปเงียบๆ




งานศพยายก็เป็นอะไรที่เราอยากจะขอโทษแม่เหมือนกันที่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไร เรารู้สึกแย่จริงๆ อารมณ์มันไม่ใช่มากๆ เราไม่รู้ว่าเพราะสเตียรอยด์เจอกับช่วงเป็นเมนส์หรือเปล่าที่ทำให้อารมณ์เราผิดปกติ (ผิดปกติจนตัวเองก็ู้สึกได้เลยว่าไม่ปกติ คือคิดว่าคนที่ฆ่าใครสักคนเพราะควบคุมอารมณ์ไม่ได้คงรู้สึกแถวๆนี้แหละมั้ง ห้าๆๆ) หรือเป็นเพราะว่ากลางคืนเรานอนไม่ได้เลย แล้วต้องกินยาแก้แพ้ตลอดวัน ทำให้ง่วงเพลียด้วยหรือเปล่า พอแม่ให้ช่วยรับแขก หรือไปไหว้เพื่อนแม่เราก็รู้สึกว่าไม่อยากทำเลย อ่อนระโหยมากๆ เหมือนไม่มีแรงตั้งตัวให้ตรง ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม งานศพก็ผ่านไปด้วยดี ทุกคนทั้งลูกๆ หลานๆ ก็ช่วยกัน ทั้งชาวบ้านที่น่ารัก ก็มาช่วยกัน บ้านนอกก็แบบนี้ คนช่วยกัน เป็นภาพที่เห็นแล้วชอบเสมอ

จากการป่วยของยายที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบ้านเมื่อตอนนู้น ทำให้เราเรียนรู้ว่า แม่ ป้า น้า เป็นสามสาวที่แกร่งมากที่สุดในปฐพี โดยเฉพาะแม่ ที่สามารถจัดการภาระต่างๆในชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง รวมทั้งดูแลยายที่นอนนิ่งต้องได้รับการดูแลอย่างดี ตาที่ช่วงนึงก็ป่วยเคลื่อนไหวไม่ได้เหมือนกัน(ตาเสียก่อนยายแล้ว) คุณลุงพี่ชายแม่ที่เป็นอัมพฤกษ์ไม่มีคนดูแลก็รับมาอยู่ด้วยกัน แถมดูแลส่งเสียลูกๆของลุง และลูกๆของลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆอีกสามสี่ชีวิต ( หรือมากกว่านั้นก็ไม่รู้ ) นี่ยังไม่นับช่วงนึงที่พ่อเรารถล้มขยับไม่ได้ด้วยนะ สามสาวนี้( โดยเฉพาะแม่ ) จัดการได้อย่างน่าทึ่ง จัดการเรื่องของตัวเองไม่พอ ยังช่วยเหลือคนอื่นอีก เงินเดือนก็ไม่ใช่ว่าเป็นแสนเป็นล้าน

อาจจะดีหน่อยที่ 3 สาวมีลูกที่ดี ท่าทางจะมีเราคนเดียวที่ดื้อ(ดื้อแต่เรื่องอารมณ์ไม่ได้ดื้อเรื่องเรียน) ส่วนอีก 4 คนที่เหลือ นั้นว่านอนสอนง่าย  เราว่าการที่พ่อแม่ทำตัวเป็นตัวอย่าง สร้างสังคม สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เด็ก แม่งสำคัญมาก เด็กๆเองพ่อแม่ก็ไม่ต้องมานั่งสอนให้รักกัน เราก็รักกันเองเพราะพ่อแม่พวกเราทำงานเป็นทีมมากๆ ลุงเขยกับพ่อเราก็เป็นคู่เขยที่รักกันเหมือนพี่น้อง  มาถึงรุ่นเรา การที่ถูกเลี้ยงรวมๆกันและเห็นสิ่งที่แม่ๆพ่อๆทำ เราก็เรียนรู้ที่จะทำงานเป็นทีม ช่วยเหลือกันเอง รักกันแบบธรรมชาติพาไปมากๆ

การส่งยายไปสวรรค์ เป็นงานที่พี่น้องลูกหลานมารวมตัวกัน แสดงถึงความสำเร็จในการทำงานของยายที่เริ่มจากการเป็นลูกจีนจนๆ ฝ่าฟันชีวิตแสนลำบาก สร้างครอบครัวที่อบอุ่นขึ้นมาได้

ตอนที่ยายกำลังจะทิ้งสังขาลไป ป้ากระซิบบอกยาย ว่าไม่ต้องห่วง หลานๆโตแล้ว มีงานที่ดีทำกันหมดแล้ว ตอนนั้นเราก็คิดว่า มนุษย์นั้นมีชีวิตอันเป็นอมตะได้ ด้วยการถ่ายทอดความดี วิธีคิด และส่งต่อชีวิต ผ่านตัวแทนของตนเอง รุ่นสู่รุ่น

ยายไม่ได้ตายไปไหน ยาย กลายเป็นพี่อาร์ต ทหารเรือสุดหล่อ พี่ชายใจดีของน้องๆ กลายเป็นดาร์ลี่นักกิจการเพื่อสังคมจอมดื้อ กลายเป็นอายเป็นองุ่น คุณครูสาวแสนสวยดูแลสั่งสอนเด็กๆ กลายเป็นต้าพยาบาลน่ารักดูแลคนป่วยไข้ กลายเป็นดาร์กอน ตำรวจแลพครูแดร์ผู้น่ารักอ่อนไหว(ห้าๆๆ) และกลายเป็นโอ๊ต คุณหมอที่ตั้งเป้าหมายในอาชีพเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

ขอบคุณชีวิตและความเสียสะของยายฮวย  สำหรับชีวิตที่ดีของพวกเรา






สึส เบญจเพศ #1 !! - แพ้ยา

"ซวยชิบหาย"

ลี่บ่นกับแม่ตอนนั่งอยู่บนรถ

" เบญจเพศอายุ 25 เเม่ง ป่วย แพ้ยาเข้าโรงบาล ยายก็ตาย นึกว่าจะไม่โดนอะไรกับเค้าแล้วนะ"
" ยายมึงตาย แล้วเกี่ยวอะไรกับมึงอายุ 25 วะ" แม่กล่าว

" ....."



เย็นวันที่เขียน Blog เรื่องเบญจเพศว่า เห้ย กูไม่โดนอะไร ผีไม่หลอก ญาติไม่ตาย
ห่า
พอเขียนจบ เย็นวันนั้นไข้ขึ้น ไม่จาม ไม่ไอ แต่นั่งหนาว ตัวร้อน ขึ้นๆลงๆ ตัวสั่นอยู่ในห้องประชุมคนเดียว ทั้งๆที่คนอื่นดูสบายดี

แล้วสักพักก็มีเหมือนจุดเลือดเล็กๆขึ้นใต้ผิว

เสร็จละกู ไข้ขึ้นๆลงๆมาวันสองวันละ วันนี้มีจุดเลือดใต้ผิวแบบนี้ ไข้เลือดออกชัวร์ พอดีช่วงนั้นข่าวพี่ปอ ทฤษฎีป่วยหนักด้วย ( หลังจากนั้นพี่ปอก็เสียชีวิต ขอแสดงความอาลัยมา ณ ที่นี้ พี่แม่งเป็นคนดี เกิดมาไม่เสียชาติมนุษย์) แล้วเราเองก็เคยเป็นมาแล้วครั้ง หรือ สองครั้งไม่แน่ใจ ยิ่งต้องรีบหาหมอ เพราะกลัวจะรุนแรง

ไปถึง รพ. หมอบอกเป็นไปได้ แต่อาจจะไม่ใช่ ให้กลับบ้าน อีกสองวันค่อยมาตรวจเลือด ...


ห๊ะ .... กูตัวร้อนขนาดนี้ ผื่นแดงทั่วตัวขนาดนี้ แม่งใจเย็น ให้กลับบ้าน ไม่ถาม ไม่คุยอะไรกับกู ไม่ถามว่ากูกินยาอะไรอยู่มั้ย ต้องบอกเอง ต้องนั่งนึกเอง แล้วพูดออกไปเอง
สิ่งที่หมอทำคือสั่งตรวจเลือด ไม่ตรวจเชื้อ specific แต่ให้ตรวจเลือดและบอกว่ามีไวรัสหรือแบคทีเรียในเลือด อันนี้พอเข้าใจได้ ว่าตรวจไปก็เปลืองตัง รอดูอาการไปก่อน ( หรือเปล่าวะ คือต้องรออาการหนักๆสัก สามวันก่อนหรอถึงตรวจได้ ใครรู้อธิบายทีจ้า ) แต่ก็ งง ว่า แล้วที่ตรวจเฉยๆนี่ก็ไม่เปลืองตังหรอ ก็ต้องจ่ายตังเหมือนกันไม่ใช่หรอ ถามก็ได้นะว่ามีตังป่าว ตังมีนะ ยินดีจ่ายถ้าจะให้รู้ไปเลยว่าเป็นอะไร ไม่อยากรอดูอาการ รู้สึกเสี่ยงมาก

สำหรับเรา การที่หมอจบใหม่เราไม่ได้กังวลอะไรเรื่องนั้นเลย  แต่หมอไม่สื่อสารนี่ แย่เลยนะ หมอไม่ถาม หมอไม่อธิบายนี่ คนไข้ก็แบลงค์เหมือนกันนะ เราไปหาท่านด้วยอาการป่วย กลัวตาย กังวลใจ พร้อมจะตอบทุกอย่าง เล่าทุกอย่าง แต่นี่ทำเหมือนว่าเราเป็นอมตะ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ ไม่ตาย ไปซะอย่างนั้น

ตอนนั้นเราก็รู้สึกอยากไว้ใจ เชื่อหมอละกัน ทั้งๆที่ตะหงิดๆในใจมากๆ กลับบ้านพร้อมกับยาพาราและเกลือแร่ รวมทั้งยาแก้อ้วก ทั้งๆที่ไม่ได้มีอาการอะไรเลยที่ต้องกินเกลือแร่กับแก้อ้วก หมอบอก ให้ไว้ เผื่อๆ

เราถามหมอย้ำว่า อาการแพ้ยาหรือเปล่าคะ ยาตัวนี้ๆๆ  หมอบอก ไม่ใช่ กินต่อไปเลย

คืนนั้นนอนไม่ได้เลย หนาว ตัวสั่น ตัวร้อน ต้องเอาผ้าชุบน้ำมาแขวนไว้บนเตียงเพื่อเช็ดตัวตลอดทุกชั่วโมง ต้องพยายามกินน้ำเยอะๆ ตื่นเช้ามาไข้ลด ผื่นแดงขึ้นหนักกว่าเดิม เลยตัดสินใจรีบไปหาหมอ ไม่รอให้ไข้ครบสามวัน

เจอหมออีกคน ลักษณะเหมือนกับหมอคนแรกเป๊ะ บอกว่าดูผลเลือดเเล้วน่าจะเป็นส่าไข้ไม่น่าใช่ไข้เลือดออก ให้กลับบ้าน แล้วพรุ่งนี้มาตามนัด

คนไข้ตัวแดงมาก และตัวร้อนขึ้นๆ ลงๆ ตลอดสองวัน หมอบอกส่าไข้ เราก็สงสัย ตัดสินจากอะไร ไหนบอกเหมือนหัด ตัดหัดทิ้งไปแล้วหรอ

กลับบ้านตามหมอบอกอีกรอบ ... ไม่มีอะไรคืบหน้า ... ยกเว้นเรื่องยาที่เรากินอยู่เราก็บอกหมออีกรอบเพราะแม่บอกว่าเหมือนอาการแพ้ยาเหมือนกัน  ... แต่หมอบอกไม่ต้องหยุด กินต่อเลย ... เราก็เถียงแม่ว่าหมอบอกว่าไม่ใช่

คืนนั้นเป็นเหมือนเดิม คืออาการไข้สูง นอนไม่ได้เลย ผื่นแย่กว่าเดิม .. เช้าวันที่ 3 กลับไป รพ. ไปตรวจตามนัด ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไข้เลือกออก... หมอเลยสรุปว่าส่าไข้ ให้กลับบ้าน ไม่มียาให้กิน เดี๋ยวมันหายเอง ... พูดแบบไม่มองหน้า ... ไม่มองผื่น ... ไม่ตรวจช่องปากช่องคอ ... ไม่ตรวจช่องคลอด ... ไม่ดูตา ... ไม่มองอะไรเลย มองแต่คอม แม้แต่หน้าเราหมอก็ไม่มอง ...




กล้าพูดเลยว่าหมอไม่มีสปิริตและฝีมือกระจอกมาก ห่วยมาก และเรารู้สึกผสมกับความไม่รับผิดชอบ ทำงานส่งๆ ... รู้สึกแบบนั้นจนต้องบอกพ่อว่า ย้าย รพ. เหอะ ... หนูว่าหมอที่นี่ไม่เอาไหน ไม่รับผิดชอบ ... ไปตรวจเอา second opinion กัน

ออกจากห้องตรวจโรค มีคุณป้าคนนึง ท่าทางโทรมๆ เดินมาคุยด้วย ป้าบอกว่า หนูเอ้ย ไม่ใช่ส่าไข้หรอกลูก นี่แพ้ยา อันตรายนะลูกนะ ....

... วันนั้นก็เลยยังกินยาตัวเดิมที่กินประจำอยู่เพราะกลัวหยุดแล้วจะดื้อยา .... โดยที่ถามหมออีกรอบ ย้ำชัดๆว่า ไม่ใช่แพ้ยาแน่ๆใช่มั้ยคะ

คืนวันนั้น .... อาการแย่กว่าเดิม ตอนเช้า อ่อนแรง กินข้างไม่ได้แล้ว เดิน ตาเบลอไปหมดเเล้ว ... จะตายแล้ว ... น้ากับพี่เลี้ยงตกใจ รีบให้พ่อพาส่ง รพ. เซ็นต์แมร์รี่ ไม่ไป รพ. เดิมแล้ว ....

ไปเซ็นต์แมร์รี่ เจอคุณหมอชาคริต อธิบายไม่ถูก แต่ตอนเจอหมอชาคริต บอกได้คำเดียวว่า กูรอดเเล้ว ต่างจากหมอสองคนที่ รพ.แรก ที่ให้ความรู้สึกว่า กูตายแน่ ถ้ากูเป็นมากกว่าไข้หวัดธรรมดา

หมอถาม หมออธิบาย หมอให้คำปรึกษา ทั้งเรื่องตัวโรค และเรื่องจิตใจ หมอหาทุกความเป็นไปได้ และตรวจดูทั้งหมด เพื่อความชัวร์ โดยกูก็เจาะเลือดครั้งเดียวเหมือนกัน

สรุป หมอชาคริตคิดว่าแพ้ยา!!!!!!!!!  สั่งแอดมิททันที และสุดท้ายก็ถูก.... แพ้ยาจริงๆ....

ตั้งแต่รู้ตัวว่าร่างกายผิดปกติ แล้วไปหา รพ. "ผิด" ก็เสียเวลาไป 3 วันครึ่ง ทานยาตัวที่แพ้ไปเพิ่มถึง 7 เม็ด  แค้นมากกับคำว่า "แค่" ส่าไข้ "เดี๋ยวก็หาย"

ตั้งสเตตัสว่า ไป รพ.นี้มาแล้วหมอไม่ใส่ใจเลย มีคอมเมนต์มายืนยันความคิดเรา เพียบ! สงสารคนที่ไปหาหมอ คนแก่ คนจน ที่นั่งรอด้วยความหวังจริงๆ

หมอชาคริตพูดถึง steven johnson syndrome ....ด้วย  ห่าาา กลุ่มอาการนี้กูเคยเรียน .... สัส  ...น่ากลัว... ถ้ากูเป็นนะ ไม่อยากคิด  นี่ปากเริ่มเปื่อย เกือบเข้าตาแล้วด้วย

มารู้ทีหลัง ว่าลูกพี่ลูกน้องก็เป็น พ่อก็เป็น ลุงก็เป็น แม่ถึงสงสัยว่าแพ้ยาแต่แรกแล้ว

อยู่ รพ ไปห้าวัน อาการดีขึ้น แต่ต้องเสียเวลา เสียเงิน เสียความรู้สึก เสียโอกาสหลายอย่างมากๆๆๆ แถมยังตัวลายไปแบบนี้อีกเป็นเดือน




#สัส













วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

เชียงใหม่ 2015 เบื่อมากกกกกกกกก

เมื่อปลายปี 2015 งานใหญ่ SI camp ก็จบลง แถมงานเลี่ยงปีใหม่ก็จบช่วงใกล้คริสมาสพอดี หลังจากนั้นก็เป็นมหกรรมเคลียร์เงิน
เรารู้สึกเหนื่อยแต่มันผสมกับความสุขในงานมากๆ ได้บทเรียนอันล้ำค่ามากมาย ฟินๆเหนื่อยๆแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน 5555
แต่มีบางอย่างในใจติดอยู่ บางอย่างที่เราอยากลองทำด้วยตัวเองเต็มตัว แต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไร เราจึงขอพี่กิฟท์ออกจากการเป็น full time ที่มาดี แต่ยังคงทำโครงการต้านคอร์รัปชั่นกับมาดีอยู่ในลักษณะproject-based
แต่เมื่อมาดีกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอะไรมากมาย โครงการต้านคอร์รัปชั่นก็ไม่แน่ว่าจะเริ่มเมื่อไร พี่กิฟท์พี่เก่งก็เป็นห่วงว่าน้องจะทำยังไงกับชีวิต มันจะมีเงินที่ไหนกินข้าว มันจะจัดการตัวเอง หรือวางแผนการยังไง
ที่ชอบคือ พอเล่าแผน(ระยะสั้นและคร่าวๆ)ให้ฟังแล้วพี่เชื่อใจ และถ้าล้มก็พร้อมคอยช่วย แล้วเราก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
พี่กิฟท์ พี่เก่ง พี่เก๋ พี่เป๊ก เจ้กิฟท์ คือกำลังใจสำคัญทั้งเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ
พอหยุดปีใหม่ ลี่ก็ขึ้นเชียงใหม่ไปเที่ยวเพื่อพักผ่อน พักผ่อนจริงๆ ไม่ทำอะไรเลย นอน อ่านหนังสือ ออกเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนฝรั่ง 

เเต่ไม่รู้สึกหายเหนื่อยแฮะ ... รู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมอีก สับสนด้วย  depressมาก เลยกลับบ้านที่โคราช
กลับบ้านตั้งแต่ 31 ธันวา อยู่จนวันที่ 6 มกรา ไม่ทำอะไรเลย นอน เล่น กิน อ้อ! มีทำงานประมาณ 30 นาที กระนั้นก็ไม่หายเหนื่อย แถมยังซึมเศร้า เหงา อ้วน หดหู่ ดูถูกตัวเอง วิตกจริต นอนไม่หลับไปอีก
เลยตัดสินใจกลับ กทม. ก่อนกำหนด
กลับมาก็รู้ว่าต้องโดนตามงาน นัดประชุม คิดโปรเจคใหม่ ประชุมโปรเจค จัดการชีวิตส่วนตัว วางแผนเรียนเยอะเเยะไปหมด !!!
กลัว ... กลัวเหนื่อย ... กลัวตัวเองยอมแพ้...กลัวพังทุกอย่าง
แต่เห้ย มึงไม่ลองตอนนี้มึงจะลองตอนไหน มึงไม่ลองใครจะลอง อยากทำอะไรทำ เดี๋ยวตายแล้วไม่ได้ลองนะมึง
คิดได้เช่นนั้นก็ตีสี่ครึ่งเข้าไปแล้ว หลังจากขยุกขยิกอยู่บนเตียงทั้งคืน แถมกินขนมบนเตียง คุยกับกิ๊กแล้วก็หลับไป(ไม่รู้รบกวนรูมเมทหรือเปล่า ขอโทษด้วย)
เช้าตื่นไปประชุมกับพี่ประวิทย์ พี่เก๋  พี่กุ้ง แล้วก็มามาดี

ความรู้สึกตอนกลับมามาดีนะแก ดีงามมาก เหมือนได้กลับบ้าน รู้สึกดีกว่าอยู่เชียงใหม่ทุกวันรวมกัน
แล้วก็รอรถตู้มารับไปงานที่โคราช >> SUT start up Camp


อาถรรพ์เบญจเพศ

08/01/2015

สำหรับเรา
เราไม่เห็นผี รถไม่ชน ญาติไม่ตายค่ะ

แต่อายุครบ 25 แล้วรู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเยอะมากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเข้าสู่ผู้ใหญ่"จริงๆ"  และได้จับนู่นจับนี่ด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และเลือกเส้นทางชีวิตที่แน่นอนมากขึ้น

ตอน 22 ก็มีการเปลี่ยนแปลงนะ เรียนจบ หางาน ชีวิตสับสน แต่เรารู้สึกว่าเรายังเด็ก เรายังรู้สึกว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แค่ต้องหางาน งานก็ไม่ซีเรียส เพราะเป็นงานแรก มีเวลาให้เฟลเยอะๆ

ตอนนั้นก็อยู่บ้านยาวหลายเดือนจนแม่ด่า ห่าาา ออกมาอยู่รัชดากับมิ้นท์แทบไม่ทัน ห้าๆๆ แปปนึง นั้นก็อยากเป็นนักบิน หอบหนังสือไปอ่าน สุดท้ายก็ไปทำงานส่งออกที่ MN แล้วต่อมาก็ลืมชีวิตนักบินไป

ตอน 23 ก็เริ่มสนใจ SE จริงจัง เสิร์ชอ่าน ไปเวิร์คชอป แล้วก็ลาออกเพราะอยากทำงานสังคม แต่สุดท้ายก็หางานสังคมที่ถูกใจไม่ได้ ( เนื่องจากข้อมูลน้อยมั้ง )ก็เลย end up ทำส่งออกที่ joysport  แล้วก็ลาออกเพราะได้งานสังคมที่ถูกใจที่อโชก้า

แล้วเริ่มสนใจเรียนต่อยุโรปค่ะ คือฉีกจากเดิมที่อยากเรียนอเมริกาหรืออังกฤษเท่านั้น

ตอน 24 ได้ทำงานที่อโชก้า เรียนรู้โลกใหม่ โลกแห่ง SE start up โลกแห่ง Innovation โลกแห่ง startup โลกแห่งคนบ้า โลกแห่งคนทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ซาดิสม์ สนุก ฉลาด ตลก ต๊อง ฯลฯ จนย้ายมาที่มาดี โลกก็ยิ่งเปลี่ยนไปอีก

ทำมาดีจนกระทั่งอายุ 25 ... ตัดสินใจลาออกอีกครั้ง ครั้งนี้ลาออกเพราะมีจุดประสงค์ที่โคตรชัดเจน ออกเพื่อมาเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง เริ่มติดพ่อติดแม่และครอบครัวน้อยลง(มาก) เริ่มอยากมีบ้านของตัวเอง เตรียมสอบเรียนต่ออย่างจริงจัง มีผู้ชายมากหน้าหลายตา ห้าๆๆ อ่านหนังสือเรียนต่อจริงๆ (ครั้งนี้คือไม่ได้เรียนไม่ยอม ที่ผ่านมามีแต่แผน )

คือมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรแบบหักดิบ ชีวิตชิบหาย (ก็ชิบหายอยู่นะแต่ไม่รู้สึกอะไร ห้าๆๆ ) ไม่เห็นเห็นผี รถไม่คว่ำ ขาไม่หัก อะไรแบบนั้น แต่มันเป็นจุดที่ เห็นชีวิตตัวเองชัดมากสัสๆ จนรู้สึกว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ซึ่งจริงๆการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มันก็สะสมและมีผลมาตั้งแต่เกิดแล้วและกูว่า ห้าๆๆ

เห้ยคุณ มันคือจุดที่ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ว่ะ เลยรู้สึกว่าต้องบาลานซ์
แล้ว ณ จุดนั้น แม่งโคตรโชคดี หนังเรื่องเจ้าชายน้อยออกมาพอดี จริงๆเคยอ่านแล้ว  จำได้ว่าดีมาก แต่ก็ลืมไปเนื้อหาและใจความสำคัญมันคืออะไร พอมาดูหนังแล้วชอบมาก ก็ไปซื้อมาอ่านใหม่

เพราะกลัวตัวเอง จะแก่ กลัวจะสูญเสียความสามารถในการมองเห็นงูเหลือมชนิดเห็นภายนอกและภายในไป


ความอาถรรพ์เบญจเพศของเราแก้โดยการบูชาท่าน อ็องตวน เอ แซ็งแตกซูว์เปรี
สวัสดี