วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประวัติพระพุทธเจ้าฉบับเฮีย

จริงๆ ถ้ามีโอกาสได้นั่งรถไปประชุมงานกับเฮีย (หัวหน้า) เวลารถติดๆก็จะคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้ทั้งเรื่องงาน เรื่องสังคม เรื่องชีวิต เรื่องความรู้รอบตัว
เเละเป็นประจำที่เฮียจะเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็แลกเปลี่ยนกันสนุกๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา ว่างๆจะมาถ่ายทอดเรื่องอื่นๆให้อ่านกันอีก
วันนี้ก็เช่นกัน
วันฝนตกพรำๆ เรานั่งอยู่บนรถ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ อยู่บนทางด่วน เฮียเล่าไทม์ไลน์เรื่องตั้งแต่พระพุทธเจ้าเกิด จนถึงตอนตรัสรู้ (ตัวละครเยอะมาก แม่ พ่อ เพื่อน ม้า ชาวบ้าน ลูกคนรวย พราหมณ์ เทวดา พระเเม่ธรณี etc.)
เรากำลังคิดว่า ถ้าเปรียบเทียบกับคนธรรมดาแล้ว การที่จะประสบความสำเร็จหรือการที่เราจะค้นพบคำตอบของชีวิต ค้นพบตัวตนด้านสว่างของเราและเอามันมาใช้ได้นั้น ต้องผ่านการคิดและการทดลองทำอะไรต่อมิอะไรมาเยอะมาก เหมือนตั้งแต่พระพุทธเจ้าแอบหนีออกจากวังไปเจอ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย จนกระทั่งหนีไปบวช ไปทรมานตัวเอง ทดลองเรียนอะไรตั้งหลายอย่าง
ต้องผ่านการงง การตั้งคำถาม การทดลอง การล้มเหลว การถูกทอดทิ้ง ถูกดูถูก และอื่นๆอีกมากมาย
เราชอบตอนที่พระพุทธเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เหล่ามารก็จะแปลงกายมาขัดขวางไม่ให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ก็กระทำการต่างๆนาๆ เพื่อให้พระพุทธเจ้าสติกระเจิง
ในขณะเดียวกัน ก็มีเทวดาที่ดี แปลงกายลงมาช่วย (แบบอ้อมๆ) เพื่อให้ทรงตรัสรู้ได้ในที่สุด
ที่ชอบตอนนี้เพราะนอกจากเราจะต้องต่อสู้กับตัวเองแล้ว เรายังต้องต่อสู้ฟันฝ่าสภาพสังคมและปัจจัยภายนอกต่างๆที่คอยจะขัดขวางเรา จนวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว เหมือนกับมารพวกนั้นที่คอยขัดขวางพระพุทธเจ้า
แต่
สังคมก็ไม่ได้มีแต่มาร ก็ยังมีเทวดา ยังมีอีกตั้งหลายคนหลายอย่างที่คอย support เรา ช่วยเหลือให้เรายังคงอยู่ในสติได้ ช่วยให้เราคิด ช่วยให้เราทำ ช่วยแก้ปัญหาให้เรา เพียงแต่เราต้องแน่วแน่และหวังดี
ก็เอาไว้นึกถึง เวลาเจอมาร(อุปสรรค - มารในหลายรูปแบบ) ก็ให้เมตตามารเหล่านั้น และพิจารณาสติตัวเองให้ดี แล้วก็เดินต่อด้วยความสุข
ทำยากนะ แต่ของงี้ก็ต้องฝึกแหละ ใครก็ต้องฝึก พระพุทธเจ้าก็ยังต้องฝึก

ผู้ชายจ่ายค่ารถไฟให้เด้อ 555

อัพเดทเรื่องผู้ก่อนเลย
ตั้งชื่อเรื่องว่า : ปากกาคืออาวุธ!!!!
วันนี้ชะนีสองนางได้วิ่งไม่คิดชีวิตขึ้นรถไฟ โดยลืมไปว่า .... เราขึ้นนั่งตู้ first class ไม่ได้.... เพราะ swiss pass ของเราเป็น second class
ตอนมีคนมาตรวจตั๋วเป็นผู้หญิง 2 คนผู้ชาย1 คน
เราตกกะใจมาก และบอกไปว่า ... เราลืมไปจริงๆ เพราะเรารีบมากๆ ( คือเฉียดฉิวเลย พอประตูปิดปุ๊ปรถออกเลยจ้าาา )
คนที่มาตรวจตั๋วก็บอกเราว่า ต้องจ่ายคนละ 72 CHF คิดเป็นเงินบาทคือประมาณ 5,300 ....
แล้วนางก็มองๆดู passport แล้วบอกว่า
" แต่ยูมาจากประเทศไทยใช่มั้ย ไอลดให้พิเศษ เหลือคนละ 10 chf ละกัน"
เราคิดในใจ .... ดวกกกกก กูตกใจหมดดดดดดดด หลอกกูทำไมมมม นึกว่าต้องจ่ายครึ่งหมื่นเพื่อการเดินทาง 4 สถานีซะแล้ว!!!!
และทันใดนั้นเอง!!!!!
ชายหนุ่มแก้มแดงคนนึงซึ่งนั่งเยื้องๆกับเราไปทางขวาไกลๆ ซึ่งเราสังเกตุเห็นนางตั้งแต่นั่งแล้ว เพราะนางมีความน่ารักสัสๆ 555 แต่ก็วุ่นวายๆเลยไม่ได้สนใจต่อ
ขณะที่เราเองก็กำลังควักตัง ยื่นให้คนตรวจตั๋วผู้ชาย (ซึ่งคนตรวจตั๋วก็รับไปแล้ว) อยู่ๆหนุ่มแก้มแดงคนนั้นนางก็ลุกมาเดินมาพร้อมกับคนตรวจตั๋วผู้หญิง แล้วเดินมาคุยกับคนตรวจตั๋วชายเป็นภาษาเยอรมัน
แล้วคนตรวจตั๋วก็หันมาคืนตังให้เรา แล้วบอกว่า ผู้ชายคนนี้ขอจ่ายเงิน 20 CHF แทนคุณ!!!!!
เราก็ตกใจ ! ห่านนนน ความรู้สึกเหมือนนั่งในผับแล้วมีคนมาเลี้ยงเหล้าอะ งงๆ อึ้งๆ ก็เลยบอกไปว่า เราออกเองได้ (พร้อมกับโบกๆแบงค์20 ) นางก็ไม่ยอม
เราเลยขอบคุณและนั่งงงๆดูเค้าจัดการนู่นนี้กัน
เราเลยถามไปว่าทำไมถึงจ่ายแทน เพราะไม่อยากมโน ...5555.... ชายหนุ่มก็ยิ้มๆบอกว่า 20CHF เอง ไม่เป็นไร ( ด้วยสำเนียงอังกฤษ ถ้าฟังไม่ผิด )
คนตรวจตั๋วก็หันมาพูดว่า "He's just so nice" ...
หลังจากคนตรวจตั๋วให้ใบเสร็จเรามาและทุกคนแยกย้ายกันไป เราก็ยังงงๆอยู่ แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ .. คือ .. ควานหาปากกา
สาวๆที่รู้ตัวว่าตลาดอยู่ฝั่งยุโรปคะ ... จงจำไว้ว่าปากกานั้น สำคัญรองลงมาจากpassport!!!
พอเอาปากกาขึ้นมาได้ เราก็เขียนเฟสของตัวเองลงไปบนใบเสร็จนั้น แล้วจังหวะที่กำลังจะลงจากรถ ก็เดินผ่านชายหนุ่มและยื่นให้พร้อมกับพูดว่า
" ขอบคุณมากๆนะ ถ้าเธอมาเที่ยวไทย บอกเรานะ เราจะดูแลอย่างดีเลย"
พร้อมกับยื่นใบเสร็จพร้อมที่อยู่เฟสบุ๊กเราไปให้ และเดินลงไปสวยๆ
พอลงจากรถ เราก็เดินงงๆ หาทางขึ้นอยู่บน platform จังหวะที่หันหน้าไปๆมาๆ ก็เห็นว่านางหนุ่มแก้มแดงมองเราอยู่จากในรถ
5555555555555 รู้สึกมโนมากไปละ มาลุ้นกันว่านางจะแอดเฟสบุ๊กมามั้ย
ถ้าไม่.... ก็นกไปอีกจ้าาาาาาาาาาาาาาา 5555
ปล. รูปประกอบนี้เอามายืนยันความสวย... ว่าไม่มีเลย...

Before sunset @ cologne

วันนี้นั่งคิดเรื่องลดน้ำหนัก เลยนึกเรื่องเล่าย้อนหลังได้
"จูเลียน"
เหตุเกิด ณ เมืองโคโลญ
ขณะที่เรากำลังนั่งคิดนู่นคิดนี่เพลินๆอยู่บนเตียง ก็ได้รับข้อความจากผู้ชายคนนึงที่แมทช์กันบนทินเดอร์ ชวนเราออกไปเดท เค้าชื่อจูเลียน
วันรุ่งขึ้นเราก็ออกไปเจอจูเลียน เค้าเป็นนักจิตวิทยา ซึ่งก็น่าจะใช่จริงๆ เพราะเวลาเราถามคำถามเทสต์ความคิดเค้า เค้าเข้าใจอะไรๆเยอะมาก มีวิธีพูด วิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์สูงมาก และสนใจเรื่องภายใน เราstalk เฟสบุ๊กนางก็เต็มไปด้วยการแชร์ความรู้ด้านจิตวิญญาน
จูเลียนเสร็จจากลูกค้าตอนบ่าย ก็มารับเราที่โรงแรม วันนั้นอากาศดีมาก ก็เลยชวนกันเดินไปหาที่นั่งเล่นกัน
ขณะที่เดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ เพื่อจะไปนั่งเล่นกันริมน้ำอีกฝั่งที่คนไม่พลุกพล่านและเห็นวิวโดม ก็คุยกันเรื่องการลดน้ำหนัก
เราบอกนางว่า เราต้องการ motivation ในการลดน้ำหนัก
นางสวนกลับมาว่า motivation ไม่ยั่งยืน ต้องหาไปเรื่อย หาเจอแล้วก็หมดไป แล้วต้องเหนื่อยหาใหม่อีก
สิ่งที่ยั่งยืน คือ passion ต่างหาก
เราก็อึ้งไปเล็กน้อย เราไม่เคยนึกถึงประเด็นนี้มาก่อนเลย จริงด้วยแฮะ เมื่อก่อนเราชอบยึดของภายนอกเป็นแรงขับ เช่น อยากลดน้ำหนักเพื่อผู้ชายที่แอบชอบ อยากลดน้ำหนักเพื่อจะได้ผอมๆเหมือนเอ็มม่า วัตสัน หรืออยากลดน้ำหนักเพื่อลบคำสบประมาทของเพื่อนผู้ชาย
แม้มันจะเป็นการทำเพื่อสนองนี้ดตัวเอง แต่มันคือการไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เอาคนอื่นเป็นจุดศูนย์กลาง ถึงเราจะผอมได้จริง ผู้ชายที่เราชอบเค้าก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าเราจะอ้วนจะผอม เอ็มม่า วัตสันก็ไม่ได้รู้จักเราเลย หรือเพื่อนผู้ชายที่มันว่าเราอ้วนมันก็ไม่ได้มาอยู่กับเราตอนเราร้องไห้เพราะรู้สึกแย่กับคำพูดของมัน ซึ่งพอเราร้องไห้เสร็จเราก็จะลืมมันไป
ซึ่งมันผิด และเราจะทำไม่สำเร็จเพราะเราเองที่ยึดอยุ่กับ motivation ที่มันเป็นความรู้สึกชั่วครู่ พอเราหายตื่นเต้นกับความรู้สึกนั้น เราก็จะเลิกฝัน เลิกทำ แล้วพอไม่สำเร็จ มันทำให้ self esteem เราต่ำลงเรื่อยๆ เพราะเราไปยึดคนอื่นมาเป็นเครื่องวัดคุณค่าของตัวเอง
เค้าเสริมอีกว่า ถ้ายูอยากลดน้ำหนัก ยูต้องหาว่า passion ของการลดน้ำหนักของยูคืออะไร
เออ Passion ของการลดน้ำหนักของเราคืออะไรวะ
มันคือตัวเราเองหรือเปล่า ... passion มันคือตัวเราเอง เราอยากมีสุขภาพที่ดี หาเสื้อผ้าสวยๆใส่ง่ายๆ เราอยากมีชีวิตที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากมายนัก และเรารักการเล่นกีฬา !!!
เราก็เลยเชื่อมโยงความคิดนี้กับเรื่องหลายๆเรื่องที่เรากำลังสับสนอยู่ในชีวิตขณะนั้น ทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก
พอเราเริ่มเเยก motivation กับ passion ออกจากกัน เรารู้สึกอิสระมาก เรารู้สึกว่าเรารักตัวเองมากขึ้นมากๆ เรามีความสุขมากขึ้น วิธีคิดของเราเปลี่ยนไปในบัดดล .....
.......
พอเดินลงจากสะพาน เรานั่งคุยกันอีกสามชั่วโมงกว่าอยู่ริมแม่น้ำไรน์ เค้าเป็นคนแรกที่คุยกับเราแล้วบอกว่า
"You are a freaking introvert,believe me"
ซึ่งตรงกับที่เราคิดเลย 555555555 ทุกคนจะบอกว่า ดาร์ลี่เป็น extremely extrovert และเราก็มั่นใจว่าเราใช่ แต่บางมุม เราแอบคิดว่าเราเป็น Introvert ต่างหาก และจูเลียนเป็นคนแรกที่มองออก และที่สำคัญ ไม่เชื่อนักจิตวิทยาก็ไม่รู้จะไปเชื่อใคร ไม่เชื่อตัวเองที่รู้จักตัวเองที่สุด จะไปเชื่อใคร
พอเริ่มมืด เราก็เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยกุญแจอฐิษฐานเรื่องความรัก เดินดูกุญแจรูปร่างตลกๆ เล่นมุกกัน หัวเราะกัน
เราแวะไปกินอาหารไทย เค้านั่งมองเรากิน แล้วก็พูดว่า แปลกดีเนาะ นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน
อืม แปลกดีจริงๆ ที่เราได้เจอคนแปลกหน้าที่สามารถมาเปลี่ยน attitude เราได้
พอกินเสร็จ จูเลียนก็เดินมาส่งเราที่โรงแรม เราบอกลา
เรากล่าวขอบคุณ
ขอบคุณจริงๆ #EuropeChangesMe

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

business pitching mistake ข้อผิดพลาดของผู้ประกอบการใหม่ในการทำข้อมูล pitching

(สาระล้วนๆ)
วันนี้ไปฟัง pitching มา เป็นงานที่เน้น deep tech หลายทีมเป็น แนว innovation-based เหมือนที่ลี่พยายามทำ คือมี tech บางอย่างแล้วพยายามหากลุ่มลูกค้า พยายามหาทางเข้าตลาด ได้คุยกับหลายคนและพบ learning สำคัญๆหลายอย่างเลยจาก pitch นี้ จากประสบการณ์ที่ตัวเองพยายามทำอยู่ บวกกับที่เคยเห็นเคส success/fail ต่างๆ บวกกับเห็นพี่ๆน้อง มทส. ทำ(จำนวนมาก) และบวกกับความรู้ที่ได้จาก IBD พบว่า ผู้ประกอบการใหม่(รวมคนวัลลาบีแบบตัวเองด้วย) ไม่ว่าจะ deep tech หรือไม่ จะประสบการณ์ทำงานบริษัทใหญ่มามากมายแค่ไหน จะจบปริญญาอะไรหรือเป็นเด็กป.ตรี จะจบจากยูอะไรมา มักจะตกหลุมดังต่อไปนี้เหมือนกันหมด (ตกหลุม หมายถึง ขึ้นจากหลุมได้นะจ๊ะถ้า keep going)
1. Pain กับ Solution ไม่ตรงกัน มโนไปเองว่าลูกค้าอยากได้ของของเราเพียงแค่ของเรามันเป็น "innovation" มี Patent ไปก็ไม่ช่วยอะไร และ patent ไม่ใช่สุดยอด competitive advantage เพียงสิ่งเดียว การเข้าตลาดเป็นเจ้าแรกก็เช่่่นกัน
2. มีคนที่ทำอยู่แล้วในตลาด เราดีกว่า เพียงเพราะถูกกว่า และไม่มี strategy/Uniqueness ที่ make sense ( strategy = จะแข่ง จะต่าง จากคนอื่นยังไง)
3.ลูกค้า ไม่ตรงกับ Pain เช่น ทำสารเคมีขายให้โรงงาน แต่ศึกษาแต่ end user ไม่ศึกษา Pain โรงงาน
4.อันนี้คือพลาดสุดดดด บ่อยมาก บางส่วนเป็นผลจากข้อจากข้อ 3 คือประเมินมูลค่าตลาดผิดตลาด หรือบางรายประเมินมูลค่าตลาดใหญ่เว่อเกินไปมาก ไม่ใช้ factor ทอนลงเลย หรือเอามูลค่าตลาดที่ไม่ตรงกับสินค้ามาใส่ เช่น ขายอาหารสัตว์แต่เอามูลค่าตลาดเนื้อสัตว์มาใช้
5.อันนี้เจอบ่อยในเด็กๆที่ทำ SE กับผู้ใหญ่ที่ทำ deep tech ที่ cost สูง คือ มี innovation แล้วจะเอาเข้าตลาด ให้ภาครัฐเอาไปใช้
ด้วยconnection ที่มีกับทางรัฐบาล .... Hello ตื่นค่ะ ! คือ ถ้ามันไม่ใช่ pain รัฐบาลเค้าจะซื้อทำไม สเกลมันไม่ได้เล็ก เค้าไม่ได้ลำบาก คือแล้วไม่นับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆนาๆอีก คือ งง ถ้าจะบังคับรัฐบาลซื้อเพราะรู้จักกันนี่เค้าเรียกคอร์รัปชันป่าว 5555 คือต้องดูอีกทีว่า benefit ที่เราจะให้เค้าคืออะไร ถ้ามันมากกว่า cost ที่เกิดจากปัจจัยจำนวนมาก เค้าก็คงเอาแหละ (มั้ง 555)
6. จะขาย B2B เป็นหลัก แต่เน้นการตลาดออนไลน์แบบ mass
7. ทำเยอะหลายอย่างพร้อมกัน แต่ทีมไม่มีใครทำเป็นเลย และไม่ปรากฏว่ามี Key partners แต่อย่างใด
8. ยก a must มาเป็น Value Proposition เช่น อาหารของเราอร่อย น้ำหอมของเราหอม และเอา gain มาเป็น pain เช่น สินค้าของเราดีต่อสิ่งแวดล้อมมาก ทั้งๆที่กลุ่มที่อยากจะจับไม่ได้สะท้อนมาจริงๆเลยว่าแคร์เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือ อาหารเราแคลเซียมสูงมาก ทั้งๆที่ลูกค้าไม่ได้ขาดแคลเซียม คือ บางทีฟัง pitch ก็รู้ว่าคิดเอง ไม่เคยคุยกับลูกค้า เพราะเราเคยทำ 555
9. พยายามเอา tech มายัดให้ดู innovative ทำให้ดูเกินความจำเป็นไปมาก ทั้งๆที่ Innovation มีหลาย type เป็นกระบวนการก็ได้ เป็นบริการก็ได้ อยู่ที่จะแก้ pain ยังไง
10. market share : จะ"ขอ" ยอดขาย 10% ของ market share บ้าง 5 % บ้าง 1% บ้าง แค่นี้ก็รวยแล้ว 555 แต่ไม่ปรากฏว่า configuration ตัว Business Model อย่างไรเพื่อให้ได้ mk share นั้นมา อยู่ๆก็ขอ ขอใคร ใครจะให้ 5555 อีกอย่างคือ หาข้อมูล competitor มาน้อยมาก บางทีนั่งๆฟังอยู่เสิร์ชกูเกิลหาก็เจอเลย คู่เเข่งเพียบ ทะเลแดงเดือด
11. แผน growth สดใสมาก แต่ capacity ไม่น่าจะทำได้ แผนเติบโตก็ดีงามมาก ลืมคิดช่วง R&D ไป ... จริงๆอาจจะต้องย้อนกลับไปเลยด้วยซ้ำว่า อีก 5 ปี จะ launch โปรดักแบบไหน เพื่อให้ทันสมัยในปีนั้นๆ คือ พอเราทำโปรดักที่ยากๆ (ที่มีคนทำอยู่แล้วในตลาดด้วยนะ)ใช้เวลา R&D มาก ถึงเวลาออกสู่ตลาดจริง ก็ล้าสมัยไปแล้ว คู่แข่งเขาก็เปลี่ยรเวอร์ชั้นหนีเราไปแล้ว บัยยย
12. Pitch ด้วยความ aggressive ตอบแทรกตั้งแต่ยังถามไม่จบ เพราะรู้สึก criticize เนื่องจากต้องอธิบายเยอะ เพราะตอน pitch พูดแต่น้ำ
13. สไลด์ไม่คลีน สะกดผิดสะกดถูก โนววววววว (นี่ก็เคยเป็น 555 เพราะทำสไลด์แบบเร่งด่วน ) จนจบ 5 นาทีก็ยังไม่รู้ว่าขายอะไร ลูกค้าคือใคร ทำไมต้องซื้อ ดีกว่าคนอื่นยังไง ขายยังไง
14. ลืม Regulatory feasibility
15. ประเมินมูลค่าตัวเองต่ำ และไม่แน่ใจว่าคำนวณจากอะไร เช่น ถ้ามีคนมาลงทุน 50,000 เหรียญ เอาหุ้นๆไปเลย 15% อื้อหืออออออ
16. Trademark โคตรรรรรร Generic ใช้ได้มั้ย?? เท่าที่จำได้ เคลมไม่ได้นะ หรือเคลมได้ก็โคตร weak เช่น จะขายน้ำดื่ม แล้วตั้งชื้อยี่ห้อน้ำดื่มนั้นว่า "น้ำดื่ม" 555 พยายามตั้งให้ fanciful/descriptive/suggestive กะดั้ย คือ จุดประสงค์ของการทำ trademark คือสร้างความ distinctive ให้ผลิตภัณฑ์อะ ทีนี้พอใช้คำ general เกินไปมันจะทำให้เราเสียสิทธิ์ส่วนนั้นไปเลย บาง trademark ที่เป็น faciful ยังเสียสิทธิ์นั้นไปเลย เช่น Xerox ที่เสีียตังเยอะมากเพื่อเรียกแบรนด์กลับมา
เข้าใจว่ายากและย้ำอีกครั้งว่าขณะนี้สิ่งที่ตัวเองพยายามทำก็จะรอดแหล่ไม่รอดแหล่ I can feel you นะทุกคน 555 ของแบบนี้มีไกด์ให้แต่ไม่มีสูตรสำเร็จเป๊ะๆๆๆ ต้องระดมสมองลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ต้องมีคนเก่งๆมีประสบการณ์ด้าน Entrepreneurial XXX มาช่วย mentoring (not just management เฉยๆ) ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วย บาย
ปล.ใครเห็นแย้งหรือมีเพิ่มเติมก็เชิญที่คอมเมนต์