หายไปทั้งวัน ยินดีต้อนรับเข้าสู้ช่วง มีเรื่องแล้วค่ะหมวด ( ยาวมาก แต่ก็เป็นการตกผลึกที่เราดีใจที่ได้เรียนรู้ )
มะกี้ เราไปดู warcraft กับพ่อที่ EGV โคราช หนังโอเคนะ แต่ไม่ฟินเท่าไร แต่ซีจีสวยมากกกกกกก
ก่อนยืนสรรเสริญแปปนึง ก็มีกลุ่มคนเข้ามานั่งแถวด้านหน้า 4 คน เรานั่งแถว A เค้านั่งแถว B เป็นสาวปภ 2 2 คน ผู้หญิง 2 คน ( ถ้ามองไม่ผิดน่าจะเป็นผู้หญิง )
มาถึง ก็นั่งขยุกขยิกๆๆๆ หัวโผล่ขึ้นมาสูงมาก พอหนังเริ่มสักพัก กะเทยคนที่นั่งเยื้องไปด้านซ้ายของเรา ก็เอาโทรศัพท์ แสงจ้ามาก ขึ้นมาคุยแปปนึง ( ทั้งๆที่หนังโฆษณาให้ปิดมือถือเพิ่งผ่านไปไม่นาน )
แล้วกะเทยคนที่นั่งไปทางขวา เนื่องจากมีที่นั่งว่าง 3 ที่ นางก็เอาที่กั้นมือออก และนอนยาวบนเก้าอี้ 3 ตัว โดยที่มีเท้าโผล่ขึ้นมาบนเบาะตัวริมสุด
สักพักก็นั่งขยุกขยิกไปๆมาๆ ทั้งสองคน ส่วนผู้หญิงไม่รู้ เพราะนั่งไกลออกไป
สักพักก็นั่งขยุกขยิกไปๆมาๆ ทั้งสองคน ส่วนผู้หญิงไม่รู้ เพราะนั่งไกลออกไป
จากนั้นก็เอาถุงก๊อบแก๊บ ( เท่าที่เห็น คิดว่าเป็นถึงก็อปแก๊ป ) ที่มีขนม ขึ้นมากิน เสียงสวบสาบๆ ระหว่างสาว 2 ทั้ง2 คน โยนกันไปกันมา ในระดับสายตาเรา และคนที่นอนเหยียดก็ลุกขึ้นมา กินน้ำ แล้วเขย่าแก้วน้ำเสียงดังมากๆ หลายครั้ง และคุยกันบ่อยมากๆๆๆ
ที่พีคคือ เนื่องจากเก้าอี้ออกแบบเป็นสโลป เพื่อไม่ให้หัวคนข้างหน้า ไปบังคนข้างหลัง เราเคยเห็นคนสูงมากๆนั่ง ถ้านั่งปกติ หัวจะไม่บังคนข้างหลัง แต่คนที่นั่งเยื้องไปทางซ้ายของเรา ตัวเล็ก สูงประมาณ 161-162 หรืออาจจะไม่ถึง กลับนั่งหัวสูงมาก สูงจนบังจอเราได้ ทั้งๆที่นั่งเยื้องกันไป 1 เก้าอี้ เราต้องเอนตัวไปทางขวา เพื่อหาช่องว่างในการดูหนัง ถ้าโชคร้ายมีคนมานั่งข้างๆเราวันนี้ เราก็จะได้ดูหนังที่มีหัวคนครึ่งจอบังไปตลอด คือเค้านั่งยังไงไม่รู้ แต่เอียงตัวไปข้างหน้าตลอดเวลา >> "ตลอดเวลา"
ย้อนกลับไปตอนที่เรานั่งเก้าอี้สโลปดูละครที่บอร์ดเวย์ นิวยอร์ก เราจำได้ว่ามันคือเรื่อง phantom of the opera เราไม่เคยดูหนังมาก่อน และตอนนั้นเราฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเลย ร้องเป็นโอเปร่ายิ่งงง เราเลยเบื่อ เผลอนั่งเท้าคาง เอนหัวไปข้างหน้า ฝรั่งข้างหลังเราก็สกิด บอกเราว่า นั่งแบบนี้ไม่ได้ มันจะบังเค้า เราตกใจเพราะเราไม่เคยสังเกตุมาก่อน และหันไปขอโทษ และไม่ทำอีกเลย
เราเลยคิดว่า เค้าอาจจะไม่รู้ เหมือนตอนนั้น ที่เราไม่รู้
เราเลยสะกิดเค้าพูดว่า "พี่คะ ถ้าพี่นั่งแบบโน้มตัวไปข้างหน้าตลอดเวลา มันจะทำให้หัวพี่บังคนข้างหลังค่ะ "
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เค้าทำหน้าโกรธ แล้วหันมามองหน้าเรา หลายวิมาก แต่เราก็เฉยๆ
พอหนังจบ เค้ายืนรอเราที่หน้าโรงหนัง รอคนออกไปก่อน และโวยวายว่า เราว่าเค้าทำไม มีปัญหาอะไร เราก็อธิบายโครงสร้างเก้าอี้ แล้วบอกว่าถ้านั่งแบบนั้นมันจะบังหัวคนข้างหลัง
เค้าก็พูดเสียงดังและดุโกรธมาก ว่า "ก็พี่เมื่อยอะค่ะน้อง" บลาบลาบลา อะไรไม่รู้เรา งง มาก แถมท้ายด้วยพูดว่า ไม่ได้ดูที่บ้านนะคะ จะได้นั่ง อะไรสักอย่างซัมติงๆ เราก็ งงๆ ว่าตรรกะอะไรวะ กู งง เเล้วพ่อเราก็เข้ามาห้าม กลัวมีเรื่อง เราก็เลยบอกว่า " ถ้าเมื่อย ก็ขยับตัวได้นะคะ แต่นี่คือ พี่ทำตลอดเวลา "
เเล้วเค้าก็พูดต่อว่า ทำไมน้องไม่พูดดีๆคะ ... เราก็ งง ซ้ำอีกว่า เราพูดไม่ดีตรงไหนวะ ? ก็เลยตอบไปว่า "มะกี้ที่บอก ก็กระซิบบอกเบาๆ พูดดีๆนะคะ ไม่ได้ว่าอะไรเลย " เค้าก็สตั๊นไปแปปนึงประมาณ 2 วิ ห้าๆๆ แล้วก็พูดอะไรไม่รู้ เสียงดังๆ เราก็ขึ้นนิดนึง ว่า อ้าว มาแบบนี้อีกละ เสียงดังสู้ ทำได้แค่นี้จริงๆ หรอวะ
พ่อเราก็เลยกันเราออกมา ... คือเราไม่ได้อยากต่อยกับเค้านะ เค้าท่าทางเอาเรื่องมาก แต่เราไม่รู้สึกอะไรเท่าไรเพราะเค้าตัวเล็กกว่าเรามากด้วยมั้ง ห้าๆๆ แต่ถ้าเค้าตบเราไม่ตบกลับนะ ( แต่ถ้าเป็นหนังโปรดแบบ start trek อาจจะอีกเรื่องนึง ห้าๆๆ )
เราไม่โกรธด้วย จริงๆนะ เราเเค่หงุดหงิดและ งง มากๆ กับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ เเละแปลกใจมาก เราเจอกับตัวเองก็บ่อย เห็นคนอื่นเจอก็บ่อย
พ่อบอกเราว่า ทีหลังปล่อยๆไปเหอะ ... มันทำให้เรารู้สึกขัดแย้งนะ เราเกิดคำถามขึ้นว่า เมื่อไรที่เราควรจะปล่อย เมื่อไรที่เราควรจะพูด ... นั่นเป็นสิทธิ์ของเราไม่ใช่หรอ เขาเอาสิทธิ์เราไปไม่ใช่หรอ
ถ้าเราเงียบไปไม่ว่าอะไรเค้า แน่นอน เราก็ไปมีชีวิตของเรา เขาก็จะไปมีชีวิตของเขา ... แต่เราก็เหมือนคนขลาด คนที่อยู่เฉยๆ เมื่อเจออะไรที่ไม่ถูกต้อง แล้วมาบ่นก่นด่าเขาในสังคมของตัวเองหรือให้เพื่อนตัวเองฟัง โดยไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย
เราพูดออกไป อย่างน้อย เขาไม่ยอมรับตัวเองในตอนนี้ แต่เขากลับไปคิดถึงมันแน่นอน และมีแนวโน้มว่ามันจะสะสม ให้เขาเรียนรู้ หรือให้สังคมเรียนรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้ แต่มันอาจจะต้องแลกมาด้วยเวลาของเรา ... ดีไม่ดีอาจจะเเลกด้วยอะไรที่มากกว่านั้น .... แถมยังการันตีผลไม่ได้ด้วย เพราะใครจะไปเปลี่ยนใครได้ นอกจากตัวเค้าเอง เค้ามีสิ่งแวดล้อมของเค้า เราจะเข้าไปได้มากแค่ไหนกัน
เราไม่โกรธเค้าเลยนะ เรากลับเกิดคำถามมากกว่า ว่านอกจากยอมรับที่จะอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไป เราควรจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร
คำถามแม่งก็เพิ่มมาอีกว่า ถ้ามองในภาพใหญ่ เวลาเราเจอเรื่องไม่ดีในสังคม เราควรจะเดินหน้าสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน เพื่อลูกของเรา หลานของเรา หรือเราควรจะหนีไปอยู่ที่ที่เราคิดว่าเหมาะกับเรามากกว่า และลูกหลานของเราก็ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน
เรานึกถึงหน้าคุณยายคนนึง เธอเป็นนักอนุรักษ์ ทำงานกับลิงอุรังอุตัง ท่าเคยสอนไว้ว่า อย่าปล่อยให้ความหยาบกระด้างของคนอื่น มาทำลายความอ่อนโยนของเรา
เราก็นึงถึงอีกคำพูดนึงของโรนัลด์ เรย์แกน ว่า ."We can't help everyone, but everyone can help someone "
เราก็เลยได้คำตอบว่า โอเค เราจะไม่ปล่อยให้ความโกรธหรือความเกลียดหรือความไม่รู้ของคนที่เราเจอ มาทำลายความรู้สึกดีๆที่เรามีให้กับสังคมนี้ ซึ่งเราเชื่อว่ามีสิ่งดีๆมากกว่าสิ่งชั่วๆ เราไม่ใช่โลกสวย แต่เราคิดว่ามันเป็นกลไกที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างเราอยู่รอด
แล้วเราจะเลือกทำหน้าที่ของเรา โดยวางใจให้ถูกที่ เราจะไม่คิดอีกต่อไปว่าเราจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เหตุผลง่ายๆมากเลย เพราะในโลกความจริงเราทำไม่ได้ เราไม่สามารถพูดเพื่อเปลี่ยนแปลงพี่กะเทยคนนั้นได้ เขาเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็เช่นกัน ไม่มีใครมาเปลี่ยนเราได้ นอกจากเราเอง
ดังนั้น ที่เราทำได้คือ หาที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข ปลอดภัย เพิ่มพลังของเรา แล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างเต็มที่ ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะเป็นอะไร ถ้ามันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย มันจะสร้างสิ่งแวดล้อม เป็น ecosystem เป็นลูกโซ่ต่อๆไปเอง และในที่สุด ลูกหลานของเราแท้ๆ หรือลูกหลานของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ก็จะได้รับ impact นั้นไปเอง ที่สำคัญคือต้องมีหลายๆคนช่วยกัน และเราก็เห็นว่ามีหลายๆคนช่วยกัน แถมว่ากองทัพของคนแบบนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
มันคือการทำหน้าที่เป็นฟันเฟือง เหมือนสัญลักษณ์ของคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่สอนเราอยู่เสมอนั่นแหละ และแม้อาจารย์ป๋วยจะเคยบอกว่า การเพิกเฉยกับความชั่วร้ายคือความชั่วร้ายในตัวมันเอง แต่แกก็บอกด้วยว่า ทำงานกับคนต้องมีทั้ง"ศาสตร์"และ"ศิลป์" ในการรับมือ ห้าๆๆๆ แม่งโคตรจริง
รู้จักปล่อยไปซะบ้าง หาทางออกให้ตัวเอง หาที่ของตัวเอง ชีวิตของเรา มีค่ามากกว่าจะเสียไปกับอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ แม้ว่าเราอาจจะยังไม่เจอในตอนนี้ ก็มองหาไปเรื่อยๆ หาวิธี ที่"แยบยล"กว่าการสร้างความเกลียดชังให้กับตัวเองและคนอื่น อาจจะมีบ้างที่ต้องออกไปเผชิญหน้า แต่ก็รักษาสมดุลของตัวเองให้ดี เหมือนคุณหมอแลง ในเรื่อง high-rise ทั้งหมดนี้ยาก เป็นเรื่องหน้างานทั้งนั้น ต้องฝึก
ตอนนี้เราก็ยังนึกไม่ออกเท่าไรว่าเราจะหาทางออกให้ตัวเองได้ยังไง อยากจะย้ายไปอยู่ ตปท ก็ไม่รู้ว่าจะดีไปกว่ากันหรือเปล่า
เริ่มจากซื้อแอคเค้าท์ Netflix ก่อนแล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น