วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สิ้นปี 2014 ที่เชียงใหม่ - จูบแรก

ประเทศไทยพอฝนไม่ตกก็ร้อนจ้าาาา ดวกกกกก

แอร์ก็ไม่อยากเปิด เพราะฝุ่นเยอะเหลือเกิน ไม่ได้ล้างแอร์มานานมากแล้ว

อยากจะไปมีบ้านอยู่บนดอย อยู่กลางป่า ร้อนๆก็เดินลงไปแช่น้ำลำธารใสๆ ให้หายหงุดหงิดกันไป

ว่าแล้วก็อยากไปเที่ยวป่าเหนือ คิดถึงช่วงเวลาที่ได้ไปเที่ยวเล่นภาคเหนือตอนหน้าหนาวมากเลย เพราะในความทรงจำของชั้น หน้าหนาวนี่คือ เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย วนเวียนอยู่แถวนั้นแหละจ่ะ เพราะค่ายอาสาเดือนตุลาสมัยเรียนมหา'ลัยก็ขึ้นเหนือทั้ง 3 จากทั้งหมด 4 รอบเลย รอบละ 2 อาทิตย์ เดินป่าปีนเขาที่เชียงดาวก็ประทับใจมากจนอยากกลับไปทุกปี คือถ้านึกถึง ความเย็น ความพักผ่อน ทีไร ก็จะนึกถึงภาคเหนือขึ้นมาทันที

แล้วก็สามปีมานี้ ( 2013-2015) สิ้นปีทีไรก็อยู่เชียงใหม่ แล้วมักจะมีอะไรๆน่าตื่นเต้นกระดุ๊กกระดิ๊กมาให้นึกถึงหลายเรื่องตามประสาคน open ห้าๆๆๆๆๆๆ  แล้วเรื่องตื่นเต้นมันจะไล่เลเวลตามปีด้วยนะแก อย่างปี 2013 นี่เป็นรักใสใสหัวใจสี่ดวง ขี่จักรยานสวีทแหวว ไหว้พระ แวะร้านกาแฟคุยเรื่องกุ๊กกิ๊กๆ ปี 2014 เริ่มไม่ขี่และจักรยาน  5555  พอมาปี 2015 นี่ติดเรทเลยจย้าาาา 

ในส่วนนี้... จะขอเล่าเรื่องของปี 2014 ละกัน (ปี 2013 ว่างๆจะมาเล่า ส่วน 2015 นี่ไว้เจอกันตามร้านเหล้าเนาะ ถถถถ) มันเป็นความทรงจำซู่ซ่าๆ  ของชะนีวัยเจริญพันธ์ุที่รักอิสระอย่างเราแต่ดันไม่เคยเสียอะไรเลย แม้แต่จูบแรก!!! อายุ 24 แล้วยังซิงตั้งแต่ผมแตกปลายยันเล็บตรีนเลยข่าาาา    

จูบแรกที่เสียไป ณ เชียงใหม่ตอนหน้าหนาวนี่เป็นอะไรที่นึกขึ้นมาแล้วก็ขำทุกครั้งอะ     

ปลายปี 2014 เราอายุ 24 ขวบมาได้แปปนึง ตอนนั้นชั้นมีความเบื่อหน่ายกับชีวิตมากกกกก ไม่มีความตื่นเต้นอะไรเหลือแล้วในชีวิต  ขาดความมั่นใจไปหมด บังเอิญว่ามีพี่ที่เคารพมากชวนไปเที่ยวเชียงราย ไปดูงานไร่กาแฟรักษาป่า เลยนัดกันกับเหล่าสมาชิกแก๊งนั่งรถไฟไปแวะเชียงใหม่ก่อนจะมีพี่ๆมารับไปเชียงรายในอีกวัน พวกเราจึงมีเวลา 1 วัน 1 คืนในการพักผ่อนที่เชียงใหม่  ตอนนั้นชั้นยังไม่สนิทกับกลุ่มที่ไปด้วยกันเท่าไร และมีอารมณ์อยากอยู่คนเดียวมากๆ เลยขอแยกกับกลุ่ม ไปนอนคนเดียวที่โฮสเทลที่เคยมาพักเมื่อปีที่แล้ว (วันที่เดียวกะปี 2013 เลยข่ะ )

เช้าที่โฮสเทลล หน้าห้องน้ำ มีทั้งจักรยาน ทั้งจานข้าวแมว ทั้งแมว

โฮสเทลนี้คืนละร้อย อีดอก ห้าๆๆๆ ถ่ายรูปมาแค่นี้ สะอาดใช้ได้เลย ห้องน้ำไม่แย่ มีบาร์ มีที่นั่งเล่นข้างหน้า ที่สำคัญคนน้อย สบายๆ แถมสะดวกด้วย ใกล้ท่าแพ ถนนคนเดิน ใกล้ไนท์ ใกล้ร้านกาแฟดีๆ อยู่ในดงฝรั่งเลยแม่เอ้ยยย แต่ไกลนิมมานนะ คนไม่ชอบนิมมานอย่างเราก็โอเคเลย ลงตัว

คนเข้าพักที่นี่น้อยเพราะมันอยู่ท้ายซอยและไม่ดังเท่าไร ไม่มีขายทัวร์ ไม่อะไรทั้งนั้น ห้าๆๆ ห้องที่เคยนอนมีอยู่  4 เตียง แต่ส่วนใหญ่จะมีคนนอนไม่เกิน 2 คน หรอก .... หึหึหึหึหึ....(ทำหน้ากรุ้มกริ่ม)

เมื่อปี 2013 ที่ชั้นมาที่นี่เป็นครั้งแรก ชั้นก็ได้นอนห้องเดียวกับหนุ่มอังกฤษ น่ารักมากกก 1 คน
ปีนี้ก็เลยลุ้นมาก ว่าจะได้รูมเมทหล่อๆอีกหรือเปล่า 

มาถึงโฮสเทลก็เข้าไปเก็บของด้วยความลุ้นระทึก แล้วก็พบว่า ... ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีสัญญานชีพหรือกลิ่นผู้หล่อๆแต่อย่างใด ... โอเค.... ไม่เป็นไร กูออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนดีกว่า ห้าๆๆๆ

นี่คือไปปีนผาครั้งแรกเลยนะเฮ้ยยยย

ออกไปเที่ยวเล่นก็ไปกินเย็นตาโฟเจ้าดัง เดินดูวัดแปปนึง ปีนผา แล้วก็พาเพื่อนไปแจกลายเซ็น (เพื่อนเป็นนักเขียนชื่อดังนะเฮ้ยยย) >> ทริปนี้เดี๋ยวจะมาเล่ายาวๆทีหลัง เป็นทริปที่เจ๋งมากๆ 

พอค่ำ ก็ได้เวลาเเยกย้าย วันพรุ่งนี้นัดกันแต่เช้า ผู้ใหญ่จะมารับพาไปเที่ยว ห้ามสาย! กลับมาถึงห้อง ... ยังเงียบเหมือนเดิมจ้าาาาาา...โอเค ปีนี้ไม่ใช่ปีของกู 555 ....  เลยออกไปที่บาร์หน้าโฮสเทล (ซึ่งห่างจากห้องไป 4-5 ก้าว) สั่งอะไรมาดื่มย้อมใจ
นั่งจนดึกแล้วก็ยังเงียบ ... กริ๊บ... ไม่มีใครมาแล้วมั้ง... ก็เลยไปอาบน้ำอย่างเหงาๆ เตรียมนอนเถอะมึง ...
อาบน้ำเสร็จก็มานั่งเล่นบนเตียง เล่นโทรศัพท์ ใกล้จะหลับเต็มที ...

ผลั๊วะะะะะะะะะะะ !!!!! 

เห้ยย !!! มีคนเปิดประตูเข้ามา!!!  อีนี่เกือบจะหลับละ สะดุ้งตื่น เฮือกกก!!!!!  

ขุ่นพระช่วย.... ชายหนุ่มรูปงาม(งามจริงๆ)  งานคอเคเชี่ยน งานแบกเป้ใบใหญ่ งานผมยุ่ง ท่าทางเหนื่อยหน่อยๆ เดินเข้ามาวางกระเป๋าที่เตียงตรงข้าม (เตียงมันติดกัน แต่หันหัวไปคนละทาง) ... 
นี่ก็อึ้งๆ ปนกับกระหยิ่มในใจ นึกว่าจะต้องนอนเหงาๆคนเดียวซะแล้ววว กิกิกิกิ

นางเห็นเรานั่งอยู่นางก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามาทัก แนะนำตัว นี่ยอมรับ ว่าลืมชื่อนางไปแล้ว ห้าๆๆๆๆๆ แต่นางมาจากปารีส เพิ่งไปปีนเขาที่เนปาลมา บินมาที่ไทย แวะเชียงใหม่แปปนึง แผนเปลี่ยนต้องบินกลับกรุงเทพพรุ่งนี้เช้าตรู่ เลยต้องหาที่นอนถูกๆพักไปก่อน 1 คืน  (จำได้ประมาณนี้ ถ้าไม่ใช่ก็ช่างมันเถอะเนาะ ห้าๆๆ )

เราก็ เออๆ หวัดดีๆ (คือตอนนั้นง่วงมากและคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรน่าตื่นเต้น) นางก็ออกไปอาบน้ำ ชั้นก็นั่งเล่นโทรศัพท์ต่อ ... รอนางอาบน้ำเสร็จ จะได้ปิดไฟนอน  (ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม แยกกับห้องนอน เดินไป 4-5 ก้าว เป็นโฮสเทลที่เล็กจริงๆ )

สักพัก นางก็เดินกลับเข้ามาในห้อง .... ด้วยภาพอันตระการตา ...

นางพันผ้าขนหนูผืนเดียวเข้ามาในห้องจ้าาาาา เปลือยท่อนบน แล้วก็เดินไปที่เตียงของตัวเอง แล้วหยิบกกน หรือบ็อกเซอร์ หรืออะไรไม่รู้ มาใส่ .... มันไม่ได้เป็นบ็อกเซอร์แบบกางเกงเหมือนที่เราเคยเห็นเพื่อนผู้ชายใส่นะ แล้วมันก็ไม่ได้เหมือนกางเกงในด้วย  มันยาวกว่ากกน  (นิดหน่อย ห้าๆๆ) เหมือนเป็นสเตย์สำหรับผู้ชายอะ คือ ใส่แล้วดูเซกซี่มากๆ เพราะ ... แม่งรัดรูปข่าาาา ห้าๆๆๆๆ  แต่ไม่โป๊นะ ไม่เห็นจุดเด่นอะไรเลย แต่มันดูเซกซี่อะ เก็บดีมากๆ ใส่แล้วตูดเด้งมากเลย  ห้าๆๆ >> แก คนเราถ้ามันไม่อยากอ่อย มันจะเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็ได้ป่าววววว  >> แก ถ้าคนเรามันไม่อยากอ่อย มันใส่กางเกงยาวๆกว่านี้ก็ได้ป่าว หรือใส่เสื้อมั้ย? หรือเสื้อหมด?  หิหิหิหิหิ

ถึงตอนนี้เราคิดอะไรไม่ออกละ เพราะนางหุ่นแซ่บมากกกกกกกกก ลีนๆอะแก แบบ เพรียวๆ ใหล่เป็นใหล่ อกเป็นอก หน้าท้องเป็นหน้าท้อง ผิวเนียน(ผู้บางคนขาวนะแก แต่หลังสิวเขรอะเลย) ขายาววววว ก้นงอน ดีมากกกก บวกกะหน้าแล้ว (ซึ่งเราไม่ค่อยได้มอง) คือดีมากกกก(อีกรอบ)  ดีแท้ๆ ห้าๆๆๆ ... สิ่งที่ชะนีทำคือ แอบมอง แวบไปแวบมา สลับกับทำหน้านิ่ง เงียบ เล่นโทรศัพท์กันไป  >> ภาพติดตาชิบหาย เหมือนหนุ่มใน mv อีคาร์ลี่ เพลง Call me maybe อะแกรรร 

ภาพปลากรอบ : หน้ากับหุ่นไม่เป๊ะเท่านี้ แต่น่ารักเลยแหละ กล้ามไม่ชัดเท่านี้ หน้าท้องใกล้เคียง
หุ่นทรงเดียวกันเลย ตัวยาวๆ  ขายาวๆ
รูปจาก beauty.boxza.com

ราวตากผ้ามันใกล้กับเตียงเรา นางก็เดินเอาผ้าขนหนูมาตาก นางโชว์ให้ดูด้วยว่าเป็นผ้าขนหนูสำหรับนักเดินทาง เบามาก บางมาก แต่ซับได้เยอะ ไม่อับ ฉันก็จับๆ แล้วก็ เออ เบาจริงด้วย เบามากๆ ดูไม่ค่อยเปียกด้วย อยากได้เลย เหมาะกับคนเดินทางนานๆมากๆ  

แต่สิ่งที่นางทำหลังจากตากผ้าคือ ... อยู่ๆนางก็เดินมานั่งที่ปลายเตียงชั้นจ้าาาา  และคือเตียงมันเล็กแก ... ชั้นต้องหดขา ดันตัวไปพิงผนัง นางก็นั่งหันข้างมองมาที่ชั้นเพื่อจะเริ่มบทสนทนา ชั้นก็ไปไม่ถูกตามประสาสาวไม่เดียงสา (ตอแหลลลล) ก็เลยวางโทรศัพท์ลง แล้วยิ้ม แกล้งโง่ แกล้งทำตัวไสยๆ กลบเกลื่อนความเขินกันไป >> แก ถ้าคนเรามันไม่อยากอ่อย มันไปนั่งเตียงตัวเองก็ได้ป่าววว ห้าๆๆๆ

เป็นห้องกับเตียงสองชั้นแบบนี้เลย เตียงชั้นอยู่ขวาล่าง เตียงนางอยู่ซ้ายล่าง
จะเห็นว่ามีเสาๆกั้นนิดหน่อยนระหว่างเตียง
cr. www.settravelviatges.com รูป barcelona sound hostel 

นางก็ชวนคุยนู่นนี่ คุยเรื่องเรียน คุยเรื่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องครอบครัว แนะนำกุเรื่องเเต่งหน้าด้วยข่ะ ห้าๆๆ คุยกันเรื่อยเปื่อย  แต่ที่พีคคือ จากนั่งเฉยๆ นางก็ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  จากนั่งขอบเตียง ก็ขยับมานั่งขัดสมาธิกลางเตียง ชั้นก็เลยขยับจากนั่งพิงผนังมานั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหานางเช่นกัน ห้าๆๆๆ

ถึงตอนนี้อยากจะเตือนสาวๆ ว่าอันตรายเด้อออออ ให้ระวัง อย่าไปไว้ใจใครขนาดนั้น ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมชั้นถึงไว้ใจนางขนาดนี้เหมือนกัน พอโตขึ้นแล้วมานึกย้อนกลับไป เชี่ย กูก็กล้าเนาะ ...=*= ความหล่อบังตา ถ้าไม่หล่อกูไม่ทำงี้แน่นอน

นั่งใกล้กันมากขึ้น บทสนทนาก็เริ่มส่วนตัวขึ้น มีแฟนหรือยัง ชอบคนแบบไหน ไปเรื่อย จนมาถึงถ้ามีลูกอยากได้ผู้ชายหรือผู้หญิง นางก็เล่าว่าถ้ามีลูกสาวจะสอนยังไง ... แล้วนางก็ถามเราว่าคิดยังไง

ชั้นก็ปากไว "ลูกหรอ ห้าๆๆ ไม่อยากมีอะ ยังไม่พร้อม  จูบกะใครยังไม่เคยเลย"

เกิดเดดแอร์ขึ้นแปปนึง แล้วนางก็หัวเราะ แล้วนางก็ "โอเค ...จริงๆแล้วไอไม่เคยเป็นคนแรกของใครเลยนะ  ทั้งจูบทั้ง sex ไอไม่ค่อยชอบผู้หญิงไม่มีประสบการณ์  "..." แต่ไอเก่งนะ สอนได้" 
อิดอกกกกกก มึงพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ห้าๆๆๆๆๆๆๆ เดดแอร์ขึ้นอีกครั้งด้วยความงุนงง ชั้นก็กลัวว่ามันจะเกินเลย ชั้นก็เลยแอ๊บใส บอกว่า จะนอนละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นเช้า เดินทางไกล นางก็เห็นด้วย ....เลยแยกย้ายกันไปเตียงใครเตียงมัน นางก็เดินไปจะปิดไฟ 

แต่ไม่รู้อะไรดลใจ ก่อนนางจะปิดไฟ ชั้นก็พูดขึ้นมาว่า ... "เป็นคนฝรั่งเศสนี่ ... สอน french kiss หน่อยสิ"
.... ไอ่สัสสส ..... กูพูดอะไรออกไปปปปปปปปปปป ห้าๆๆๆๆ ......

นางก็ไม่ปิดไฟแล้วหันมายิ้ม ... " ได้ดิ" ชั้นก็เลยบอกว่า งั้นขอตัวไปแปรงฟันเพิ่มความมั่นใจก่อนนะ ห้าๆๆๆๆๆ 

ตอนกำลังแปรงฟัน ชั้นก็จ้องหน้ากระจก ถามตัวเองว่า นี่มึงทำอะไร? ..... 
ฝ่ายนางฟ้าก็บอกว่า อย่าเลยจ้ะ ... จูบแรกเธอต้องเสียให้ผู้ชายที่เธอรักสิ มันถึงจะเป็นความทรงจำที่ดี มีค่า ทำแบบนี้ก็เหมือนกับว่าเล่นๆน่ะสิ แถมเป็นใครก็ไม่รู้ด้วย .....
ฝ่ายนางมารก็บอกว่า มึงจูบๆไปเหอะ อายุ 24 แก่จะเข้าโลงแล้วอิดอก ยังไม่เคย มึงจะรอไปถึงไหน? มันจะอะไรนักหนากับเรื่องโลกสวยเนี่ย  เมื่อไรมันจะมาไอ้ผู้ชายที่มึงว่า คนนี้แหละ แซ่บแล้ว หนุกๆขำๆ ....

และดูเหมือนว่านางมารจะชนะ ... ซึ่งก็ชนะมาตลอด ห้าๆๆๆ.... แปรงฟันเสร็จ ทดสอบกลิ่น อืม ดี .... ปะ ... ลงสนาม ....

กลับเข้ามาในห้อง นางนั่งรออยู่แล้วที่ปลายเตียงของนาง ชั้นก็เลยเดินไปนั่งที่ปลายเตียงของชั้น หันหน้าเข้าหากัน มองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะ  555

นางก็ถามว่าพร้อมมั้ย ... ชั้นก็ ... พร้อมจย้าาาา .... แต่ขอลองแตะปากคนอื่นดูหน่อยนะ ว่ารู้สึกยังไง 

ชั้นก็เอามือไปแตะ เห้ย ... ไม่เห็นรู้สึกอะไร..... นางผู้ก็เลยบอกว่า ลองใช้ปากยูมาแตะๆสิ จะรู้สึกต่างกันนะ .... ชั้นก็เลยยื่นปากของชั้น ไปแตะที่ปากของนาง .... เห้ยยย นุ่มจริงด้วยยยยย  นุ่มมากๆ ซอฟท์ๆ หยุ่นๆ บอกไม่ถูก.... ปล.นางปากหอม

เออ ... ดีแฮะ ก็เลยลอง kiss แบบ kiss เบาๆดู เออ ... ใช้ได้ เป็นความรู้สึกที่ดีงามเหมือนกันแฮะ

นางก็เลยเริ่มสอน การจูบแบบธรรมดา ก็เออ เก้ๆกังๆกันไป ทำไป หัวเราะไป ตลกมากกว่าจะโรแมนติก 
สักพักก็เริ่มเพิ่มฟังก์ชั่นลิ้น ต้องทำยังไง ฟังก์ชั่นมือ ฟังก์ชั่นอื่นๆ  แล้วก็เริ่ม....  french kiss.... แหม่  นางมีชมด้วยนะว่าชั้น เก่ง เรียนรู้ไว ห้าๆๆ

พอฝึกไปสักพักนึง เริ่มติดลมละมึง ห้าๆๆๆ นางเริ่มมีการจับเอว เริ่มสอนบอดี้เเลงเกวจ เริ่มมีการสอดมือเข้าไปในเสื้อ ลูบหลังกูไปๆมาๆข่าาา (ชั้นโนบราน่ะแก ไม่มีตะขอให้ปลด) ... อีนี่เริ่มรู้สึกว่า เดี๋ยวมึงๆๆ เดี๋ยวๆๆ ห้าๆๆๆ ... ก็เลยบอกนางไปว่า  พอเถอะ ชั้นโอเคละ พอทำเป็นละ ขอบคุณมากๆนะ (คิดว่าชั้นจะเคลิ้มล่ะสิพวกแก ห้าๆๆๆ ชั้นเคลิ้มนะ แต่ชั้นสตรอง)

นางก็ยิ้มๆ แล้วก็โอเค แยกย้ายกันนอน...

ชั้นก็นอนคิดสรุปงานอยู่แปปนึง อืม ... มันก็รู้สึกดีนะ จืดๆ ลื่นๆ อุ่นๆ หยิวๆดี .... มันก็คงแค่นี้สินะ ....

นึกถึงที่ฝ่ายนางฟ้าพูดว่ะ ... จูบนี้มันคงไม่ได้เป็นความทรงจำที่มีค่าอะไรหรอก .... 
.... แต่ก็ไม่เสียหายตรงไหนนี่เนาะ ชั้นว่า จูบที่มีค่า มันไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งที่เท่าไรสักหน่อย  มันอยู่ที่ว่าจูบกับใครมากกว่า 
ตอนนี้ชั้นเสียจูบแรกให้หนุ่มฝรั่งเศสนางนี้ไป แล้วในอนาคตถ้าชั้นเจอคนที่ชั้นรักแล้วจูบกับเค้า ก็ไม่ได้หมายความว่าจูบนั้นจะมีค่าน้อยลงไปซักหน่อยนี่หว่าาา
เรื่องทางกายกับเรื่องทางใจมันต่างกันมากเลยแก คนแบบชั้นแทบจะแยกมันออกจากกันไปเลยด้วยซ้ำ

บางครั้งคนเราก็ไม่ได้ต้องการความเลอค่าาาา สวยงามมมม ประดุจวิ่งกระโปรงพริ้วอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์อะไรแบบนั้นในชีวิตมากมายหรอกแก เรื่องไร้สาระ เรื่องบ้าๆบอๆ เรื่องโง่เง่าเต่าตุ่น เรื่องเล่าธรรมดาๆ เรื่องเหี้ยๆ เรื่องจังไรๆ ก็เป็นเรื่องมีค่าได้เหมือนกันนะ 

เนี่ยแหละประสบการณ์จูบแรกของชั้น ชั้นได้เรียนรู้ชีวิตเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยจากการจูบ french kiss กับหนุ่มฝรั่งเศสแปลกหน้า 

ของพวกเธอล่ะ มาเล่าสู่กันฟังได้นะ :) อิอิอิอิอิ

ปล.1 เช้าวันต่อมา ชั้นออกจากห้องไปอาบน้ำ กลับมาเค้าหายไปแล้ว พร้อมกับจดหมายเล็กๆน่ารักๆ ว่าขอบคุณ ดีใจที่ได้เจอ เธอน่ารักมาก ประมาณนี้ แต่เค้าใช้คำว่าอะไรไม่รู้เรียกชั้น แต่จำได้ว่าเป็นคำที่น่ารักมาก
ปล. 2 เราแอดเฟสบุ๊กกัน แต่นางไม่ได้อัพเดทอะไรเลยมาตั้งแต่ปี 2013 ไม่มีแม้แต่รูป แล้วก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ชั้นกลับไปเช็คใหม่ตอนเขียนบทความนี้ นาง unfriend กูไปแล้วจ้าาาา อิดอกกก ห้าๆๆๆ 









วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

design thinking for life phase I

มีใครสงสัยมั้ย ว่า ... ชีวิตออกแบบได้จริงหรอวะ ? ไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย...

ชีวิตเรา หลายครั้ง ที่ไม่ได้เป็นอย่างที่อยากให้เป็นตั้งแต่เเรกหรอก ... แต่มันจะดีกว่านั้น !!!

เราว่าชีวิตมันออกแบบได้นะ แต่มันไม่ใช่การออกแบบ! มันคือการทำ prototype (แบบจำลอง) ของการออกแบบนั้นต่างหาก !!!

เคยเข้า workshop เรื่อง design thinking ... โดยสรุป .... การที่เราจะออกแบบสินค้า บริการ ระบบ หรืออะไรก็ตาม ควรจะเริ่มต้นตั้งโจทย์จากความต้องการของมนุษย์จริงๆ เรียกว่าเป็น human-centered design  ซึ่งวิธีคิดนี้ใช้ได้ดีกับทั้งการออกแบบเพื่อการค้าและเพื่อสังคม ใช้ที่ IDEO.org แล้วก็สอนที่ d.school ของ stanford

ถ้า design thinking ใช้ในการออกแบบนวัตกรรม  แล้วถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเป็นนวัตกรรมล่ะ ? ถ้าเราอยากสร้างชีวิตให้มันเป็นอะไรที่มากกว่าการใช้ชีวิตอยู่ล่ะ ? ( ปล . คนที่ไม่อยากทำก็ไม่ใช่คนที่ไม่เจ๋งนะ คนเรามีนิยามความสนุกและคุณค่าในชีวิตไม่เหมือนกัน ) 

เราเคยฟัง Ashton Kutsher พูดในงาน teen choice award  มีประโยคที่เราชอบมากซึ่งนางได้มาจาก Steve Jobs คือ " build the life , don't live one, build one" >> ตามไปฟังที่  https://www.youtube.com/watch?v=FNXwKGZHmDc  

ถึงตอนนี้ หลายคนคงเกิดคำถามว่า ก็เจ๋งดีนะ เห็นด้วย แต่จะเริ่มยังไง ? สำหรับคนอื่นเราไม่รู้ แต่สำหรับเราใช้วิธีคิดของ design thinking ซึ่งมีขึ้นตอนตั้งแต่เริ่ม (ตามที่เราเข้าใจ) ดังนี้  !! 


ภาพประกอบจาก dschool.stanford.edu

1. Empathize : มันคือการเข้าอกเข้าใจ เราเข้าใจตัวเองมากแค่ไหน เราเป็นตัวของตัวเองแค่ไหน เรากล้ายอมรับตัวเองแค่ไหน? เราซื่อสัตย์กับตัวเองหรือเปล่า ? 
2. Define : การกำหนดปัญหา ว่าเราอยากได้อะไร ชีวิตเรา มีปัญหาที่ต้องแก้ หรือมี goal ที่ต้องไปให้ถึงหรือเปล่า มันคืออะไร? การ define นี้จะมีภาพลวงตาอยู่นิดหน่อย จะยกตัวอย่างที่เคยได้เรียน มันเป็นเรื่อง"สะพาน" 
ภาพจากหนังเรื่อง x-men  ใน www.mtv.com
คำถามคือ จง define ปัญหาของภาพนี้ ... หลายคนอาจจะตอบว่า อ้าววว ก็เห็นๆอยู่ว่ามันคือสะพานพังไง ดังนั้น ทางออกของการแก้ปัญหานี้ คือการซ่อมสะพาน จบ .... 
แต่ !เดี๋ยว !  จริงๆแล้ว ถ้าลองย้อนกลับไปที่รากของปัญหาอีกทีซิ ย้อนไปตั้งแต่ก่อนสร้างสะพานนี้เลย จะเจอว่า ปัญหาที่แท้จริงของสะพานพัง ไม่ใช่สะพานพัง แต่มันคือ การที่เราจะข้ามไปอีกฝั่งได้อย่างไรต่างหาก ! ดังนั้นถ้าเรา define ปัญหาที่แท้จริงของโจทย์นี้น่าจะเป็น  "เราจะข้ามไปอีกฝั่งได้อย่างไร" มากกว่า 

ชีวิตก็เหมือนกัน ปัญหาที่เราเจอตอนนี้คืออะไร ? ปัญหาคือเราเงินน้อยหรอ ?  เราไม่มีเวลา? เราไม่มีผัว ? หรือจริงๆปัญหาคือ เราไม่มีความสุขกับชีวิต ? เราอยากทำอะไร อยากได้อะไร  ลองคิดดูของใครของมัน ไม่มีถูก ไม่มีผิด อันนี้แล้วแต่คน ว่าในชีวิตต้องการอะไร  แค่หาให้เจอ หาแก่นปัญหาให้เจอ define ปัญหาให้ออก ด้วยการ empathize ตัวเองให้มากๆ 

3.Ideate : คือการคิดหาวิธีการแก้ปัญหา จากตัวอย่างข้างบน เมื่อเรา define ได้แล้ว ทางออกมันอาจจะกลายเป็น เราต้องหาเงินให้ได้มากๆ เราต้องทำงานฟรีแลนซ์เพื่อให้มีเวลาในชีวิตมากขึ้น หรือเราต้องหาผัว ... ในท้ายที่สุด ได้ 3 อย่างนี้มาแล้ว เราอาจจะพบว่าชีวิตยังไม่มีความสุข ก็ต้องกลับมา define ปัญหากันใหม่

กลับไปที่ตัวอย่างสะพาน... วิธีการแก้ปัญหาสะพานพัง อาจจะไม่ใช่การซ่อมสะพาน แต่อาจจะเป็นการ สร้างทางลอดใต้น้ำ การสร้างกระเช้า การสร้างเครื่องวาร์ป การสนชาวเมืองให้ว่ายน้ำข้ามไป หรืออื่นๆก็ที่อาจจะเป็นทางที่ดีกว่าการสร้างสะพานขึ้นมาใหม่ >> นี่แหละคือนวัตกรรม

ซึ่งการคิดนวัตกรรมนี้ อาศัยประสบการณ์ ความรู้ หลายๆด้าน หลายๆแขนง ถ้าเป็นในชีวิตจริง ก็เป็นไอเดียจากเราเอง จากเพื่อนหรือจากคนอื่น 

4. Prototype and test !!!!!พอรู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร ก็เริ่มคิดได้เลย ว่าจะไปสู่สิ่งนั้นได้ยังไง เรานี่ list ออกมาเลยนะ เลือกเป็นช้อยส์ๆเลย เรียงจากอันที่เหมาะสมกับเราที่สุด สร้างแผน แล้วลงมือทำเลยจ้าาาา อย่าไปรอให้พร้อม เราค้นพบแล้วว่าไม่มีคำว่าพร้อมในการเริ่มอะไรครั้งแรก สิ่งเดียวที่ต้องพร้อมคือ พร้อมที่จะเรียนรู้ พร้อมที่จะอกหักหรือเสียหน้า
   
โปรโตไทป์คือการสร้างแบบจำลองและนำมันออกไปทดสอบใช้จริง การเดินไปสู่สิ่งที่ตั้งเป้าไว้ มันคือการทำโปรโตไทป์และการทดลองโปรโตไทป์ของชีวิต เธอจะไม่มีวันรู้เลยว่า แผนที่วางไว้ มันจะเป็นไปตามที่คิดหรือเปล่า ซึ่งเท่าที่เราลองทำมา ไม่ได้เป็นไปตามนั้นทั้งหมด แต่กลับดีขึ้นต่างหาก  ยกตัวอย่าง การ test โปรโตไทป์ชีวิตของเรา 

 define : เราอยากมีชีวิตที่มีคุณค่า สนุก มีเรื่องเล่ามากมาย สร้างสังคมให้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม 

เราสร้างโปรโตไทป์ปี 2014 ของเราออกมาคือ
เข้าทำงาน NGO ที่เกี่ยวข้องกับหลากหลาย issue ทางสังคม  >> เรียนต่อที่ยุโรป >> ทำงาน UN >> ทำงานพัฒนามนุษย์ ที่ไหนก็ได้ในโลก

เราเริ่ม test จากการสมัครทำงานที่ Ashoka ซึ่งเป็น NGO ที่เราหาข้อมูลมาว่าทำงานสนับสนุนคนที่ทำงานเปลี่ยนแปลงสังคมในทุกด้าน 
ผลจากการ test คือ 
  • เราไม่สามารถเข้ากับทีม ashoka ได้ 
  • เราได้เรียนรู้เรื่องทางสังคม ได้รู้จักคำว่า "กิจการเพื่อสังคม" หรือ Social Enterprise (SE)และได้รู้จักคนที่หลากหลาย  
  • เรียนรู้การทำงานเป็นเป็นโครงการ 
  • พบว่าตัวเองอยากทำงานที่เกี่ยวกับนวัตกรรมสังคม หรือ กิจการเพื่อสังคม (SE)
  • พบว่าตัวเองอยากทำงานที่เจอคนเจ๋งๆเยอะๆ และคอยสนับสนุนเค้า  
เห็นมั้ย แค่ขั้นแรกก็ไม่ผ่านละ ต้องเอาผลที่ได้จากการ test มาทบทวนตัวเองใหม่ แนะนำให้เริ่มจาก Define ใหม่ ทุกครั้ง 
1. ทบทวนการ Define ปัญหา ... เรายังมีเป้าหมายชีวิตเหมือนเดิมมั้ย >> พบว่ามีเหมือนเดิม โอเค ผ่าน ( บางคนอาจจะเปลี่ยนนะ เช่น พบว่า คุณค่าในชีวิตของชั้น ไม่ใช่การทำให้สังคมดีขึ้น แต่มันคือการได้ท่องเที่ยวรอบโลก เป็นต้น แล้วแต่คน  )
2. Ideation ใหม่เพื่อปรับ protoype เพราะตอนนี้เรามีข้อมูลชุดใหม่เพิ่มขึ้นมาแล้ว มีประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาแล้ว ดังนั้น prototype ใหม่ของเราคือ 

เราจึงได้ prototype ปี 2015 เป็นดังนี้ 
เข้าทำงานกับกิจการเพื่อสังคมในตำแหน่งที่ได้เจอคนเยอะๆ  >> เรียนต่อที่ยุโรป >> ทำงาน UN >> ทำงานพัฒนามนุษย์ ที่ไหนก็ได้ในโลก


เราเริ่ม test โปรโตไทป์ใหม่นี้ด้วยการ เข้าทำงานที่ มาดี ซึ่งเป็นกิจการที่สร้างพื้นที่ให้คนที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมเข้ามารวมตัวกันเพื่อลงมือทำ เราทำงานในตำแหน่ง project coordinator และ project manager
สิ่งที่ได้จากการ test โปรโตไทป์ที่มาดีคือ
  • เราไม่แคร์ว่าสิ่งที่จะทำต้องเป็นกิจการเพื่อสังคมหรือไม่ แต่ต้องเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน
  • เราพบว่าเราไม่สามารถเเก้ไขปัญหาสัวคมทุกอย่างบนโลกได้ เเต่เราพบว่ามี 2 อย่างที่อยากทำมากจริงๆคือ 1. อยากทำนวัตกรรมสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของตัวเอง 2.เราอินเรื่องคอร์รัปชั่นมาก เพราะได้รับผิดชอบโครงการที่เกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชั่น 
  • ได้เรียนรู้เรื่องการกล้าลงมือทำ การเปิดพื้นที่ให้คนได้มามีส่วนร่วม
  • ได้เจอกับอาจารย์จาก ม.สุรนารี และมุมมองที่กว่างขึ้นในคำจำกัดความของคำว่า "ผู้ประกอบการ" หรือ entrepreneurship
  • ได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น พัฒนาความเป็นผู้นำ และมุมมองการทำธุรกิจ 
  • พัฒนามุมมองที่มีต่อโลกใบนี้ (เป็นการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต)

ทำไปสักพัก เราพบว่า โอเค มาแนวนี้ถูกต้อง โปรโตไทป์นี้ถูกต้องและได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมอีกเยอะแยะเลย  ดังนั้น เมื่อถึงจุดๆนึง ก็ต้อง move ชีวิตต่อไป 
เราลาออกจากมาดี   จะเห็นว่า เราเดินมาถึง milestone ที่ 2 แล้ว นั่นคือ การวางแผนเรียนต่อ 

และนี่คือ โปรโตไทป์ปี 2016 ของเรา
ทำงานมาดี >> เรียนต่อที่ยุโรป >> ทำงาน UN >> ทำงานพัฒนามนุษย์ ที่ไหนก็ได้ในโลก
ชาว social enterprise ที่มาดี 
การลาออกจากมาดีทั้งๆที่เป็นที่ที่เรามีความสุขมากนั้น ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ เราสะสมจากการ test ที่ผ่านๆมา และได้ข้อมูลในการตัดสินใจเรียนต่อเพิ่มขึ้นเยอะมาก เราพบว่า เราอยากเรียนด้าน Entrepreneurship ดังนั้น ลาออกจากมาดีเพื่อมาลองทำกิจการเพื่อสังคมเป็นของตัวเอง จะได้เรียนรู้เรื่องนี้ในมุมที่กว้างขึ้น หาประสบการณ์เพิ่ม เพื่อเป็นวัตถุดิบในการเรียนต่อและใช้ชีวิต รวมทั้งในการตัดสินใจต่อไป 
แก๊ง SUT start up และแก๊งที่ที่ทำงานเรื่อง entrepreneurship กับเครือข่ายทั่วประเทศ 

ตอนนี้เราอายุ 25 โปรโตไทป์ชีวิตของเรา test  ไปยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ และมันก็เปลี่ยนแปลงไปทุกปี หรือทุกครั้งที่เห็นว่าเหมาะสม  

แต่สิ่งที่เราชัดเจนไม่เปลี่ยนง่ายๆคือเรา define ปัญหาของตัวเองชัดมากและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยมา 25 ปีแล้ว ห้าๆๆๆ
ถ้าเรา define ปัญหาไม่ชัด จะทำให้ทุกอย่างมั่ว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อย แล้วคุณจะสับสนกับชีวิตมากกว่าที่เป็นอยู่อีกข่าาา ดังนั้น  จงทำความรู้จักตัวเองให้ดี ให้ละเอียด ไม่ต้องเเคร์ใครมาก empathize ตัวเองอย่างใกล้ชิดและซื่อสัตย์

ที่สำคัญ ถ้าอยากใช้วิธี design thinking ให้สำเร็จ ต้องมีทัศนคติในการพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวความผิดพลาด กล้า test กล้า ปรับชีวิตให้เข้าใกล้จุดที่ตัวเองต้องการมากที่สุดโดยไม่สนใจว่าเส้นทางเก่าๆ ของคนอื่นมันจะเป็นยังไง (คือสนใจได้ในเชิงเอามาเรียนรู้หรือปรับใช้ ไม่ใช่ไป copy มาง่ายๆ) 

สิ่งสำคัญอีกอย่างนึงที่เอามาใช้ประกอบกับ design thinking คือสิ่งที่เราได้มาจากการทำ workshop เรื่อง UX (user experience) จะเห็นว่าเรายึดเรื่องประสบการณ์ในการตัดสินใจปรับอะไรๆเยอะมากและบ่อยมากและบางทีรวดเร็วมาก  เราไม่สามารถออกแบบชีวิตเราให้มันเสร็จสมบูรณ์ดีงามไปเสียทุกอย่างในครั้งเดียว เราเองจะไม่คาดหวังว่าวันสุดท้ายของชีวิตเราจะเห็นอะไรที่เป็นสูตรสำเร็จเลย นอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ยังเหนื่อยและไม่สนุกอีกด้วย เพราะปัจจัยนึงที่สำคัญในการใช้ชีวิตของชีวิตมนุษย์คือ "เวลาและประสบการณ์"  เวลาผ่านไป เราเปลี่ยนไป สิ่งรอบข้างเปลี่ยนไป สิ่งที่เราออกแแบบไว้วันนี้ มันจะล้าหลังในวันพรุ่งนี้  ดังนั้ง เสน่ห์ของการสร้างอะไรบางอย่าง คือการออกแบบให้มันพัฒนาไปได้อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด เราจะได้ผลลัพธ์ที่ cool กว่าเป็นไหนๆ  

เราใช้วิธีคิดนี้กับเรื่องความรักด้วยนะเออ กับเรื่องอะไรที่เราคิดว่าออกแบบได้ เราก็ลองใช้หมด 

เราออกแบบชีวิตของตัวเองได้จริงๆนะ ไม่เชื่อ มา"ลองดู"เป็นเพื่อนกันหน่อย! :)  



วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ผลึกจากคนมารยาทแย่ในโรงหนัง

หายไปทั้งวัน ยินดีต้อนรับเข้าสู้ช่วง มีเรื่องแล้วค่ะหมวด ( ยาวมาก แต่ก็เป็นการตกผลึกที่เราดีใจที่ได้เรียนรู้ )
มะกี้ เราไปดู warcraft กับพ่อที่ EGV โคราช หนังโอเคนะ แต่ไม่ฟินเท่าไร แต่ซีจีสวยมากกกกกกก
ก่อนยืนสรรเสริญแปปนึง ก็มีกลุ่มคนเข้ามานั่งแถวด้านหน้า 4 คน เรานั่งแถว A เค้านั่งแถว B เป็นสาวปภ 2 2 คน ผู้หญิง 2 คน ( ถ้ามองไม่ผิดน่าจะเป็นผู้หญิง )
มาถึง ก็นั่งขยุกขยิกๆๆๆ หัวโผล่ขึ้นมาสูงมาก พอหนังเริ่มสักพัก กะเทยคนที่นั่งเยื้องไปด้านซ้ายของเรา ก็เอาโทรศัพท์ แสงจ้ามาก ขึ้นมาคุยแปปนึง ( ทั้งๆที่หนังโฆษณาให้ปิดมือถือเพิ่งผ่านไปไม่นาน )
แล้วกะเทยคนที่นั่งไปทางขวา เนื่องจากมีที่นั่งว่าง 3 ที่ นางก็เอาที่กั้นมือออก และนอนยาวบนเก้าอี้ 3 ตัว โดยที่มีเท้าโผล่ขึ้นมาบนเบาะตัวริมสุด
สักพักก็นั่งขยุกขยิกไปๆมาๆ ทั้งสองคน ส่วนผู้หญิงไม่รู้ เพราะนั่งไกลออกไป
จากนั้นก็เอาถุงก๊อบแก๊บ ( เท่าที่เห็น คิดว่าเป็นถึงก็อปแก๊ป ) ที่มีขนม ขึ้นมากิน เสียงสวบสาบๆ ระหว่างสาว 2 ทั้ง2 คน โยนกันไปกันมา ในระดับสายตาเรา และคนที่นอนเหยียดก็ลุกขึ้นมา กินน้ำ แล้วเขย่าแก้วน้ำเสียงดังมากๆ หลายครั้ง และคุยกันบ่อยมากๆๆๆ
ที่พีคคือ เนื่องจากเก้าอี้ออกแบบเป็นสโลป เพื่อไม่ให้หัวคนข้างหน้า ไปบังคนข้างหลัง เราเคยเห็นคนสูงมากๆนั่ง ถ้านั่งปกติ หัวจะไม่บังคนข้างหลัง แต่คนที่นั่งเยื้องไปทางซ้ายของเรา ตัวเล็ก สูงประมาณ 161-162 หรืออาจจะไม่ถึง กลับนั่งหัวสูงมาก สูงจนบังจอเราได้ ทั้งๆที่นั่งเยื้องกันไป 1 เก้าอี้ เราต้องเอนตัวไปทางขวา เพื่อหาช่องว่างในการดูหนัง ถ้าโชคร้ายมีคนมานั่งข้างๆเราวันนี้ เราก็จะได้ดูหนังที่มีหัวคนครึ่งจอบังไปตลอด คือเค้านั่งยังไงไม่รู้ แต่เอียงตัวไปข้างหน้าตลอดเวลา >> "ตลอดเวลา"
ย้อนกลับไปตอนที่เรานั่งเก้าอี้สโลปดูละครที่บอร์ดเวย์ นิวยอร์ก เราจำได้ว่ามันคือเรื่อง phantom of the opera เราไม่เคยดูหนังมาก่อน และตอนนั้นเราฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเลย ร้องเป็นโอเปร่ายิ่งงง เราเลยเบื่อ เผลอนั่งเท้าคาง เอนหัวไปข้างหน้า ฝรั่งข้างหลังเราก็สกิด บอกเราว่า นั่งแบบนี้ไม่ได้ มันจะบังเค้า เราตกใจเพราะเราไม่เคยสังเกตุมาก่อน และหันไปขอโทษ และไม่ทำอีกเลย
เราเลยคิดว่า เค้าอาจจะไม่รู้ เหมือนตอนนั้น ที่เราไม่รู้
เราเลยสะกิดเค้าพูดว่า "พี่คะ ถ้าพี่นั่งแบบโน้มตัวไปข้างหน้าตลอดเวลา มันจะทำให้หัวพี่บังคนข้างหลังค่ะ "
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เค้าทำหน้าโกรธ แล้วหันมามองหน้าเรา หลายวิมาก แต่เราก็เฉยๆ
พอหนังจบ เค้ายืนรอเราที่หน้าโรงหนัง รอคนออกไปก่อน และโวยวายว่า เราว่าเค้าทำไม มีปัญหาอะไร เราก็อธิบายโครงสร้างเก้าอี้ แล้วบอกว่าถ้านั่งแบบนั้นมันจะบังหัวคนข้างหลัง
เค้าก็พูดเสียงดังและดุโกรธมาก ว่า "ก็พี่เมื่อยอะค่ะน้อง" บลาบลาบลา อะไรไม่รู้เรา งง มาก แถมท้ายด้วยพูดว่า ไม่ได้ดูที่บ้านนะคะ จะได้นั่ง อะไรสักอย่างซัมติงๆ เราก็ งงๆ ว่าตรรกะอะไรวะ กู งง เเล้วพ่อเราก็เข้ามาห้าม กลัวมีเรื่อง เราก็เลยบอกว่า " ถ้าเมื่อย ก็ขยับตัวได้นะคะ แต่นี่คือ พี่ทำตลอดเวลา "
เเล้วเค้าก็พูดต่อว่า ทำไมน้องไม่พูดดีๆคะ ... เราก็ งง ซ้ำอีกว่า เราพูดไม่ดีตรงไหนวะ ? ก็เลยตอบไปว่า "มะกี้ที่บอก ก็กระซิบบอกเบาๆ พูดดีๆนะคะ ไม่ได้ว่าอะไรเลย " เค้าก็สตั๊นไปแปปนึงประมาณ 2 วิ ห้าๆๆ แล้วก็พูดอะไรไม่รู้ เสียงดังๆ เราก็ขึ้นนิดนึง ว่า อ้าว มาแบบนี้อีกละ เสียงดังสู้ ทำได้แค่นี้จริงๆ หรอวะ
พ่อเราก็เลยกันเราออกมา ... คือเราไม่ได้อยากต่อยกับเค้านะ เค้าท่าทางเอาเรื่องมาก แต่เราไม่รู้สึกอะไรเท่าไรเพราะเค้าตัวเล็กกว่าเรามากด้วยมั้ง ห้าๆๆ แต่ถ้าเค้าตบเราไม่ตบกลับนะ ( แต่ถ้าเป็นหนังโปรดแบบ start trek อาจจะอีกเรื่องนึง ห้าๆๆ )
เราไม่โกรธด้วย จริงๆนะ เราเเค่หงุดหงิดและ งง มากๆ กับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ เเละแปลกใจมาก เราเจอกับตัวเองก็บ่อย เห็นคนอื่นเจอก็บ่อย
พ่อบอกเราว่า ทีหลังปล่อยๆไปเหอะ ... มันทำให้เรารู้สึกขัดแย้งนะ เราเกิดคำถามขึ้นว่า เมื่อไรที่เราควรจะปล่อย เมื่อไรที่เราควรจะพูด ... นั่นเป็นสิทธิ์ของเราไม่ใช่หรอ เขาเอาสิทธิ์เราไปไม่ใช่หรอ
ถ้าเราเงียบไปไม่ว่าอะไรเค้า แน่นอน เราก็ไปมีชีวิตของเรา เขาก็จะไปมีชีวิตของเขา ... แต่เราก็เหมือนคนขลาด คนที่อยู่เฉยๆ เมื่อเจออะไรที่ไม่ถูกต้อง แล้วมาบ่นก่นด่าเขาในสังคมของตัวเองหรือให้เพื่อนตัวเองฟัง โดยไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย
เราพูดออกไป อย่างน้อย เขาไม่ยอมรับตัวเองในตอนนี้ แต่เขากลับไปคิดถึงมันแน่นอน และมีแนวโน้มว่ามันจะสะสม ให้เขาเรียนรู้ หรือให้สังคมเรียนรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้ แต่มันอาจจะต้องแลกมาด้วยเวลาของเรา ... ดีไม่ดีอาจจะเเลกด้วยอะไรที่มากกว่านั้น .... แถมยังการันตีผลไม่ได้ด้วย เพราะใครจะไปเปลี่ยนใครได้ นอกจากตัวเค้าเอง เค้ามีสิ่งแวดล้อมของเค้า เราจะเข้าไปได้มากแค่ไหนกัน
เราไม่โกรธเค้าเลยนะ เรากลับเกิดคำถามมากกว่า ว่านอกจากยอมรับที่จะอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไป เราควรจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร
คำถามแม่งก็เพิ่มมาอีกว่า ถ้ามองในภาพใหญ่ เวลาเราเจอเรื่องไม่ดีในสังคม เราควรจะเดินหน้าสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน เพื่อลูกของเรา หลานของเรา หรือเราควรจะหนีไปอยู่ที่ที่เราคิดว่าเหมาะกับเรามากกว่า และลูกหลานของเราก็ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน
เรานึกถึงหน้าคุณยายคนนึง เธอเป็นนักอนุรักษ์ ทำงานกับลิงอุรังอุตัง ท่าเคยสอนไว้ว่า อย่าปล่อยให้ความหยาบกระด้างของคนอื่น มาทำลายความอ่อนโยนของเรา
เราก็นึงถึงอีกคำพูดนึงของโรนัลด์ เรย์แกน ว่า ."We can't help everyone, but everyone can help someone "
เราก็เลยได้คำตอบว่า โอเค เราจะไม่ปล่อยให้ความโกรธหรือความเกลียดหรือความไม่รู้ของคนที่เราเจอ มาทำลายความรู้สึกดีๆที่เรามีให้กับสังคมนี้ ซึ่งเราเชื่อว่ามีสิ่งดีๆมากกว่าสิ่งชั่วๆ เราไม่ใช่โลกสวย แต่เราคิดว่ามันเป็นกลไกที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างเราอยู่รอด
แล้วเราจะเลือกทำหน้าที่ของเรา โดยวางใจให้ถูกที่ เราจะไม่คิดอีกต่อไปว่าเราจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เหตุผลง่ายๆมากเลย เพราะในโลกความจริงเราทำไม่ได้ เราไม่สามารถพูดเพื่อเปลี่ยนแปลงพี่กะเทยคนนั้นได้ เขาเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็เช่นกัน ไม่มีใครมาเปลี่ยนเราได้ นอกจากเราเอง
ดังนั้น ที่เราทำได้คือ หาที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข ปลอดภัย เพิ่มพลังของเรา แล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างเต็มที่ ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะเป็นอะไร ถ้ามันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย มันจะสร้างสิ่งแวดล้อม เป็น ecosystem เป็นลูกโซ่ต่อๆไปเอง และในที่สุด ลูกหลานของเราแท้ๆ หรือลูกหลานของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ก็จะได้รับ impact นั้นไปเอง ที่สำคัญคือต้องมีหลายๆคนช่วยกัน และเราก็เห็นว่ามีหลายๆคนช่วยกัน แถมว่ากองทัพของคนแบบนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
มันคือการทำหน้าที่เป็นฟันเฟือง เหมือนสัญลักษณ์ของคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่สอนเราอยู่เสมอนั่นแหละ และแม้อาจารย์ป๋วยจะเคยบอกว่า การเพิกเฉยกับความชั่วร้ายคือความชั่วร้ายในตัวมันเอง แต่แกก็บอกด้วยว่า ทำงานกับคนต้องมีทั้ง"ศาสตร์"และ"ศิลป์" ในการรับมือ ห้าๆๆๆ แม่งโคตรจริง
รู้จักปล่อยไปซะบ้าง หาทางออกให้ตัวเอง หาที่ของตัวเอง ชีวิตของเรา มีค่ามากกว่าจะเสียไปกับอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ แม้ว่าเราอาจจะยังไม่เจอในตอนนี้ ก็มองหาไปเรื่อยๆ หาวิธี ที่"แยบยล"กว่าการสร้างความเกลียดชังให้กับตัวเองและคนอื่น อาจจะมีบ้างที่ต้องออกไปเผชิญหน้า แต่ก็รักษาสมดุลของตัวเองให้ดี เหมือนคุณหมอแลง ในเรื่อง high-rise ทั้งหมดนี้ยาก เป็นเรื่องหน้างานทั้งนั้น ต้องฝึก
ตอนนี้เราก็ยังนึกไม่ออกเท่าไรว่าเราจะหาทางออกให้ตัวเองได้ยังไง อยากจะย้ายไปอยู่ ตปท ก็ไม่รู้ว่าจะดีไปกว่ากันหรือเปล่า
เริ่มจากซื้อแอคเค้าท์ Netflix ก่อนแล้วกัน