วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562

The Alienist

รีวิว The Alienist : สุดยอด สุดยอดจริงๆ ประโยคและภาพใน Scene เกือบสุดท้าย ยังจี๊ด ยังติดอยู่ในสมอง ทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน ดูชื่อคนเขียนบทแล้วก็ อ๋อออ เทพทั้งนั้น เป็นซีรีส์เรื่องแรก(ที่นี่เคยเห็น)ที่เล่นเรื่อง Sexual Pathology ชัดๆ
"We set out to find a monster, but all we found was a wounded child." ...
เป็นซีรีส์ที่ไม่ยาวมาก ไม่ยืดเยื้อ ไม่เสียเวลา ไม่ได้เกี่ยวกะเอเลี่ยนแต่เป็นหนังสืบสวนสอบสวนจิตวิทยา มีกลิ่นของ Sherlock อาจจะไม่หวือหวาและตลกเท่า แต่ก็มีด้านกดดัน เล่นกับความคิดคนดูเยอะกว่า ผสมกับบรรยากาศการสืบสวนและความเป็นมนุษย์ของคนในทีมอย่าง How to get away with murder
ตัวเนื้อหาหลักๆเป็นเรื่องการสืบหา Serial killer (ในเรื่องเรียก multi killer เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีคำศัพท์ทางการ) บวกกับฉากหลังเป็นนิวยอร์กยุคเปลี่ยนผ่านจาก 80 (17xx) สู่ 90 (18xx) ทำให้หนังประกอบด้วยประเด็นอันกลมกล่อมต่อไปนี้ (มีสปอยล์นิดหน่อย ถ้าอยากได้อรรถรสสุดๆจากการตีความเอง ควรข้ามไปล่างสุดได้เลย)
- หลักๆคือเรื่องการพัฒนาจากเด็ก ที่มีไม่ได้ผิดปกติอะไร สู่โรคจิตนักฆ่า ปีศาจ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของหน่วยที่เล็กที่สุดอย่างครอบครัว คนใกล้ตัว คนที่เด็กเชื่อใจ .. การพัฒนาตัวตนของคนคนหนึ่ง เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่ถาโถมและความรักที่ไม่เพียงพอ (ซึ่งความรู้นี้ ผ่านมาสองสามร้อยปี ก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจต่อสาธารณชนมากนัก)
- กระบวนการยุติธรรมที่ล้าหลังไม่พอ ยังเกิดคอร์รัปชันซะจนบิดเบี้ยวไปหมด และคนรวยก็มีอำนาจมากจนควบคุมกระบวนการยุติธรรมได้
- คนรุ่นเก่าไม่ยอมรับแนวคิดแง่มุมใหม่ สาขาวิชาใหม่ๆ มีพื้นที่ไม่มากนัก
- บทบาทสื่อและมุมของคนที่มีสื่อในมือกับมุมคนทำงาน
- ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่สูงมากกกกก ในหนังสะท้อนชัดมาก ซึ่งเป็นสิ่ง Drive ให้เกิดปัญหาสังคมเยอะมาก ในเรื่องที่เห็นคือ ความแออัด ปัญหา Health care อาชญากรรมต่างๆ เด็กลักขโมย กะหรี่เด็ก(ผู้ชาย) เป็นต้น
- เหยียดเชื้อชาติหนักมากกกกกก
- เหยียดเพศหนักมากกกกกกกกกกกกกกก (เป็นช่วงที่ผู้หหญิงเริ่มรณรงค์เรียกร้องสิทธิ์) และ Sexual harassment ในที่ทำงานเป็นเรื่องที่เจอทุกวัน (แม้แต่จะทำงานใน 'กรมตำรวจ' ก็ตาม !!
- ทั้งหมดนี้มีความย้อนแย้งกับความเชื่อและศาสนามาก มีหลายฉากที่ตัวหลัก Turn down นักบวช
จะเห็นว่า ประเด็นเหล่านี้ ผ่านมาสองสามร้อยปี ก็ยังเหมือนเดิม เจ็บปวดยิ่งนัก
ในส่วนดารา มีเบอร์ใหญ่หลายๆคน (และผู้ชายหล่อหลายคน)
- Daniel Brüh มาตรฐานดีมาก นางเป็นคนที่เหมาะกับหนังที่ต้องซูมหน้าจริงๆ
- Luke Evans ยังคงงานดีเหมือนเดิม 555 โอ้ยยย พ่อคุณ คราวนี้ดูมีความซนนิดๆ ด้วย เหมาะมาก
- Dakota Fanning คือ ดีมากกกกก คือ นางคือ Mryl Streep คนต่อไป สาธุ (นี่แคปฉากที่ซูมหน้านางไว้ด้วย ไม่แต่งหน้า คิ้วไม่กรร ไม่เขียน อีดอก สวยกว่ากูหน้าเต็มมาก)
- Brian Geraghty แสดงเป็น (Teddy) Theodore Roosevelt คิดว่าหล่อไปหน่อย ขี่ม้าเก่งมาก Jump สวย 555 แต่เวลาแสดงนางสื่อสารทางตาดีมากกก จนลืมความหล่อ
- Douglas Smith เพิ่งดู Percy Jackson ไปปเมื่อวันก่อน ไม่คิดว่านางจะมาอยู่ในเรื่องนี้ คือเปลี่ยนลุคแล้วหล่อสัสๆ น่ารักแบบละสายตาไม่ได้ แสดงก็ยังซนๆน่ารักๆเหมือนเดิม แต่คราวนี้มีบางซีนที่กดดัน ก็ทำได้ดีมาก
- Bill Heck ออกชัดๆฉากเดียวแต่แบบ Damnnnn . You kill it, man !
คนอื่นๆที่มาประกอบด้วยก็ลงตัวเหมือนกัน คือ นักแสดงไม่เยอะมาก และรู้สึกผูกพันกับทุกตัว ทุกตัวจริงๆ ชอบมาก
เสื้อผ้าหน้าผม ดีไปหมด ฉากเฉิก(ถ่ายที่บูดาเปสต์) ดี สวย ไม่รู้ทุนเท่าไร แต่น่าจะมากโขอยู่ 555
ดนตรีพอดีมาก บางทีเงียบ บางทีเร้ามากแล้วจังหวะคือโคตรรรรรรรรรรรร ดี บางฉากน้ำตาไหนเพราะดนตรี แล้วรายละเอียดในหนังเยอะมาก บางทีดูๆไปช่วงพีคๆรายละเอียดแม่ง Flashback มา
พิมพ์ไปก็.. นึกถึงไป ตั้งแต่เมื่อคืนที่นอนไม่หลับ ฉากและเสียงท้ายๆเรื่องยังติดตาติดหูอยู่ แค่นึกถึงก็น้ำตาคลอแล้ว สงสัยจะเป็นไปอีกหลายวัน
' We set out to find a monster, but all we found was a wounded child '
' We set out to find a monster, but all we found was a wounded child '
' We set out to find a monster, but all we found was a wounded child '
.......
รอ Season 2
https://www.youtube.com/watch?v=K1HeKXhsXFo

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

ความรักของฉัน จับมันโยนทะเล - part 2 The Oasis Khaolak Resort


ปกติเราใช้ booking.com ในการจองที่พัก เห็น The Oasis Khaolak Resort ได้รับรีวิวดีมากกกก เช็คในแผนที่แล้วไม่ไกลจากถนนใหญ่ ไม่ได้อยู่ติดที่เที่ยวแต่ไม่ไกลเลย (เราชอบนอนห่างจากที่เที่ยวออกมาอยู่แล้ว) มีจักรยาน มีมอไซค์ ราคาดีมาก ก็รีบจองเลย

มาถึงรีสอร์ทบ่ายๆยังไม่ได้กินข้าว หิวมาก ไม่ค่อยมีอารมณ์ แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาที่พบว่ารีสออร์ทดูดีกว่าในรูปอีกแฮะ สวย  ดูเป็นรีสอร์ทที่เพิ่งสร้างใหม่ 

เราเดินเขาไปในห้อง reception ก็ได้เจอกับน้องแหวนและน้องบาสมาต้อนรับ ทำความรู้จักกัน ตัวเราเองไปที่นั่นพร้อมกับอารมณ์ที่ไม่ได้อยากยุ่งกับใคร เราคาดหวังว่าจะอยู่คนเดียว จะจมปลักและขอพังอยู่กับอารมณ์ พนักงานต้อนรับที่นี่กลับทำลายความคาดหวังของเราซะสิ้นด้วยการพูดว่า 

(กรุณาอ่านเป็นสำเนียงใต้) "พี่ลี่จะไปกินข้าวมะไหร่ เดี๋ยวผมพาไป ผมว่าง" น้องบาสพูด 

ด้วยความงงของเราเลยตอบไปว่า 

"เออ งั้นพี่ขอพักแปปนึงเดี๋ยวออกมา"  55555

น้องบาสพาเราไปที่ห้องของตัวเอง เป็นบ้านหลังนึงเลยก็ว่าได้ ห้องสภาพดีมากๆ ใหม่มาก ข้าวของครบครัน หน้าห้องมีสระว่ายน้ำเล็กๆไว้ให้แช่เล่นอีกต่างหาก

จัดการตัวเองเสร็จก็เดินกลับไปหาน้องๆเพื่อออกไปกินข้าวกัน ตกใจมาก เรานึกว่าน้องจะเอามอ'ไซค์พาไป ..

มันเอาซาเล้งมาาาาาาาาาาาาาา 55555555

สรุปว่าคืนนั้น มีเรา น้องบาสน้องแหวน และแขกอีกคน

นั่งซาเล้งไปกินข้าวสนุกมากๆ เสียวดี 555 แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าใครเฝ้ารีสอร์ท ... ถามน้องๆ มันบอกว่า ... แขกไม่ค่อยมีแล้วเพราะเป็นหน้าโลว์ เฝ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่อย่าให้แม่รู้ก็พอว่าหนีออกมาเที่ยว (หลังจากนั้นแม่ก็รู้และโทรมาด่าอยู่ดี 55)

หลังจากกินข้าว ชมอะไรนิดหน่อย น้องๆก็พาไปดูหาดทรายสีดำ ที่พอตกกลางคืนจะเกิดแสงระยิบระยับที่สะท้อนแสงจันทร์ เหมือนเป็นภาพสะท้องของจักรวาล ดีงามมากๆ

เรากลับมากันที่รีสอร์ท ก็คุยกับน้องไปว่า พรุ่งนี้พี่จะไปเล่นเซิร์ฟ จะขอยืมจักรยาน

น้องมันตกใจ และบอกว่าไกลอยู่ จะไปส่ง

เราก็บอกว่า ไม่เป็นไร พี่ไปเอง (พี่มาเพื่อดราม่าอยู่แล้ว)

แต่น้องมันไม่ยอมให้เราดราม่าเลย มันจะไปส่ง เพราะมันจะไปเล่นด้วย! 555

น่ารักจริงๆ







Body shaming society

[ ยาว - เรื่องการถูก Body Shaming บ่อยๆ จนเป็นTrauma ]
เรา Realize ไม่นานมานี้ ว่าการถูก Body Shaming เยอะๆ แม่งสามารถเป็น Trauma ที่รุนแรงได้ (สังเกตว่าเราบ่นเรื่องนี้บ่อยมาก) และพี่ๆที่อยู่กับเราเสมอเวลาเรา Lost จะรู้ดีว่าเวลาเราเศร้า ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เราจะเริ่มเกลียดตัวเองโดยอัตโนมัติ จะคิดว่าตัวเองไม่สวย เราจะเริ่มเชื่อมโยงทุกเรื่องในชีวิตเข้ากับความไม่สวยของเรา และเริ่มประสาทแดก self esteem ต่ำ กว่าจะปีนกลับขึ้นมากได้ ลำบากมาก ๆ
เราโดนพูดใส่เสมอ ตั้งแต่เด็กๆ (ประถม มัธยม มหาลัย วัยทำงาน โดนมาตลอด โดนจากทุกคน ครอบครว เพื่อน ฯลฯ) ว่าไม่สวยยังไงบ้าง ควรไปทำศัลยกรรมตรงไหน ควรลดน้ำหนัก ควรไปแต่งหน้า ควรนู่นควรนี่ควรนั่น วันนี้หน้าเหมือนผี วันนี้เหมือนป่วย จนประสาทแดก เอาชีวิตไปผูกกลับเปลือกของตัวเองตลอดเวลา และลึกๆเป็นคนที่ไม่รักตัวเอง ไม่เชื่อในตัวเอง หลายครั้งแสดงออกมาจนมีคนทักว่าเป็น Imposter Syndrome หลายๆครั้งไม่มีความสุขกับการแต่งตัวสวย หลายๆครั้งก็ขาดๆเกินๆเรื่องนี้ และคนสนิทจะรู้ว่าเราโกรธง่ายมาก ถ้าใครว่าว่าเราไม่สวย
หลังๆ พอเรา Stand up กับเรื่องนี้มากขึ้น เราถูกพูดกลับว่า คิดมากเกินไป, เอาตัวเองไปผูกกับเรื่องความสวยไม่สวยเกินไป,ไม่เก็ทโจ๊ก ฯลฯ
เราจะบอกว่า มนุษย์มีเส้น ไม่เท่ากัน ความ 'เกินไป' ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
นอกจากถูกหาว่าท้องเพราะความอ้วนหลังคลอด Chrissy Teigen เคยสะท้อนในวิดีโอนึง เราจำได้ถึงเรื่องที่เค้าถูกถามว่า 'จะมีลูกเมื่อไหร่' นางบอกว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ควรมาเป็นคำถามเลย เพราะคุณไม่มีทางรู้ ว่าคนที่คุณกำลังถาม เค้าอยู่ในภาวะไหน
สำหรับบางคน มันอาจจะเป็นคำถามที่โอเค แต่สำหรับบางคน เค้าอาจจะอยู่ในภาวะมีลูกยากและกำลังทุกข์กับเรื่องนี้อยู่ แล้วเหมาะสมหรือ กับการถามคำถามพวกนี้ รู้แล้วได้อะไร ?
เช่นเดียวกับเรือง อ้วน เรื่อง ไม่สวย เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันกระทบกับจิตใจคนไม่เท่ากัน และเป็นเรื่องที่ก็รู้อยู่แล้วว่า Sensitive จะบอกให้ว่า การพูดถุึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะในเชิงแซวตลก หรือเชิงหวังดีจริงๆ ไม่ว่า React จะเป็นยังไง ก็เจ็บ และกลายเป็น Trauma ได้ในที่สุดถ้าโดนบ่อยๆแบบเรา แล้วมันทรมานนะเว้ย มันเกิดขึ้นจริงๆ
แล้วคิดหรอ ว่ากรูไม่รู้ว่าตัวเองอ้วน ไม่รู้ว่าตัวเองไม่ perfect ตรงไหน ?
ดังนั้น เวาว่าใครอ้วนแล้วอ้างว่าหวังดี อย่าพูดดีกว่า ไม่มี added value ใดใด เอาจริงๆ กลับไปถามตัวเองเถอะ ว่าเวลาไปล้อหรือไปว่าใคร แล้วใช้คำว่าหวังดีมาอ้างเป็นเหตุผล มันใช่จริงๆหรอ หรือแค่อ้างเพราะรู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นออกไป
เอาตรงๆนะ ลึกๆก็รู้อยู่แล้ว ว่าพูดเพราะเหยียด จะตั้งใจหรือไม่ ก็เหยียดไปแล้ว
เวลาเราโพสต์ว่าเราน้ำหนักขึ้น มันแปลว่าเราอยากได้ Support นะ ไม่ใช่อยากโดนเหยียด
หลังๆเวลาโดน เราจะไปฟ้องเพื่อนฝรั่งทุกที ไม่รู้ทำไมผู้ชายฝรั่งที่เรารู้จักมี Attitude ที่ดีมากๆ (นั่นเป็นอีกเหตุผลที่เราชอบ ฝ. เพราะที่ผ่านมา เวลาโดน Body Shaming จะเป็น ผช.ไทย และทำให้เเรารู้สึกไม่โอเคกับผช. ไทยในภาพรวมไปเลยยยย คือเห็น ผช. ไทยจะเริ่มตัดสินไปละ ว่า Attitude ไม่ได้แน่นอน หลอนไปเลย )
ทุกครั้งที่เราอยู่กับผู้ ฝ. เราจะเผลอดูถูกตัวเองให้เค้าฟังบ่อยๆ แล้ว React เเต่ละคนจะแปลกใจ ตกใจ และ Feedback 100% จะประมาณว่า
- Be yourself. I love the way you are.
- You are perfect
- Your skin is so smooth .
- You have a pretty face.
- No worries, To me you are sexy .
- I like you whether you are wearing make-up or not
- I like you, you can lose your weight if you want to but it doesn't matter.
นี่ไม่ใช่พวกผู้ชาย One night stand นะ นี่คือพวกผู้ชายที่เจอกันในชีวิตจริง อยู่กัน ใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกัน และเค้าเป็นแบบนี้กันสม่ำเสมอ และทรีทเราดีแบบนั้้นจริงๆ
เราเพิ่งดูซีรีส์อังกฤษเรื่อง Sex Education มา มี Scene นึงที่น่าสนใจมากๆ คือ มีคู่รักเด็กน้อยคู่นึง พยายามมีSex กัน แต่เด็กผู้หญิงไม่อยากเปิดไฟ เพราะ 'อับอาย' และ 'เกลียด'ร่างกายของตัวเอง เธอบอกแฟนของเธอว่า มัน 'Disgusting'
เมื่อถามเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายบอกว่าเค้าอยากเปิดไฟ เค้าอยากเห็นเรือนร่างของคนที่เค้ารัก ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรเค้าก็ชอบ จริงๆเค้าชอบทุกอย่างของเธอ บุคลิก สมอง ร่างกาย ชอบทุกอย่าง
แต่เด็กผู้หญิงไม่เชื่อ และยังคงยืนยันว่า มัน Disgusting ทั้งสองคนทะเลาะกัน
คือ เหมือนเรามาก และเราคิดว่า หลายคนเป็น
เราชอบปิดไฟ 555 เพราะเรารู้สึกแบบเดียวกันกับเด็กผู้หญิงคนนี้เลย เราเกลียดร่างกายตัวเอง จนกระทั่งได้มาเจอ ฝ. หลายๆคนช่วงหลัง ที่ Support เราเสมอ ทำให้เราเริ่มรักตัวเองมากขึ้น don't give a shit มากขึ้น เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ และกล้าเดินแก้ผ้าไปมาในห้องที่มีผู้อยู่ได้ อาบน้ำกับผู้ได้โดยไม่รู้สึกแย่ โดยไม่รู้สึกขยะแขยงตัวเองหรืออยากปิดบังซ่อนเร้นร่างกายของตัวเอง จากที่แต่ก่อนคือ ไม่ได้เลย ถ้าไม่ปิดไฟ คือไม่ถอดให้ใครเห็นอะไรเลย อาบน้ำกับคนอื่นคือ ไม่มีทาง
มันนำมาซึ่งผลลัพธ์หลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อ หลายคนบอกว่า เราดูมีเสน่ห์ขึ้น เพราะเรามีความสุขขึ้น เราไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร เรารักตัวเอง เหมือนในเรื่อง Sex Education ที่ทุกคนภูมิใจและตะโกน 'It's my vagina' !!!!! เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการ Embrace ร่างการของตัวเอง
คิดดูสิ คำพูดเล็กๆในความคิดคุณ ทำให้คนบางคน เกลียดตัวเอง ขยะแขยงตัวเองได้ มันส่งผล ต่อทุกเรื่องในชีวิตเค้านะ เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องความมั่นใจ เรื่องการใช้ชีวิต ทุกเรื่องจริงๆ เพราะทุกอย่างมันสะท้อนจากการที่เรา 'มอง' ตัวเอง ตั้ง 'Position' ตัวเองยังไง
ดังนั้น #stopbodyshaming หยุดปากปีจอเรื่องนี้กันเสียที ขอ #Support ค่ะ อีหอยยยยยยยยยย

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

The Founder : The Art of Management and The Power of Control (Spoiler alert - มีสปอยล์ค่ะ)




The Founder :  The Art of Management and The Power of Control

การต่อสู้ผ่านร้อนผ่านหนาวของพี่น้อง Richard (Dick) และ Maurice (Mac) McDonaldสะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองคนเป็น Salary-Replacement Entrepreneur เติบโตจากเด็กยากจน สู่การเป็นมนุษย์เงินเดือนและไล่ตามฝันที่จะมีกิจการเป็นของตัวเอง ด้วยพรสวรรค์ และประสบการณ์ เป็นจุดกำเนิดของร้านแมคโดนัลด์ที่เปลี่ยนวิธีกินอาหารของคนอเมริกันไปตลอดกาล
Ray Kroc นักขายผู้ทะเยอทะยาน มุ่งมั่น ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่อยากได้ ทุกโอกาสในการเติบโตและการไปถึงจุดสูงที่สุดกว่าทุกคนคือสิ่งที่เค้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ในหนังได้อ้างอิงคำพูดของ  Ralph Waldo Emerson ว่า “A man is what he thinks about all day long”
แต่ความเป็น ผู้บุกเบิกหรือนักขาย อย่างเดียว อาจไม่พอในการสร้างจักรวรรดิอาหารจานด่วนอย่างแมคโดนัลด์ได้ การผ่านอุปสรรคและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิตของทั้ง 3 คน ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ส่วนประกอบสำคัญที่นำแมคโดนัลด์  แฟรนไชส์อาหารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ 1. การจัดการที่มีประสิทธิภาพ  และ 2. การสร้างอำนาจในการควบคุม
1.       การจัดการที่มีประสิทธิภาพ : The Art of  Management
1.1   Timing and Behaviors : การขยายกิจการของบริษัทในโลก สาเหตุที่ทำให้ล้มเหลวมากที่สุดคือ Timing ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงพฤติกรรมลูกค้า แมคโดนัลด์สาขาแรกเริ่มจากการทำ Drive Through ซึ่งเป็นรูปแบบที่กำลังแพร่หลายในอเมริกา เมื่อ Ray มาเยี่ยมร้านและพบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว แม่บ้านพาลูกมาทานอาหารนอกบ้านมากขึ้นและเป็นโอกาสสำคัญที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง (หากทำก่อนหน้านี้ อาจล้มเหลวเหมือนกับที่ Dick และ Mac สูญเสียธุรกิจโรงหนังไป)
1.2   Brand Building : ทรัพยาการที่สำคัญที่สุดของการทำ Franchising
·         การวางทิศทาง Brand ให้ชัดเจน : แมคโดนัลด์วางตัวเป็นพื้นที่สำหรับครอบครัว เป็น “ The New Church of America” เช่น เสิร์ฟอาหารที่ช่วยทำห้คนจดจำได้ง่าย กำจัดทุกอย่างที่ family Unfriendly ออกหมด เป็นต้น
·         Distinctiveness :  Trademark ทั้งชื่อ สี รูปแบบอาคาร โลโก้  ที่ล้วนสร้างความเป็นแมคโดนัลด์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้และสร้างมูลค่ามหาศาลตามมา แม้ Mac จะพาใครต่อใครเดิมชมครัว เปิดขั้นตอนทุกอย่างให้ดู ก็โขมยIntellectual Property นี้ไปไม่ได้  (ที่พี่น้อง Mac และ Dick ไม่รู้เลยว่ามันคือ Intellectual Property ที่สำคัญ)
1.3   Scaling Process
·         Scalable Process : ตั้งใจหรือไม่ แต่พี่น้อง Dick และ Mac ได้สร้าง “Speedee” ระบบการทำงานแบบใหม่ที่ Repeatable เพื่อให้การทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และเพิ่มประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลการผลิต  
·         Franchisee Collection : การเลือกผู้ทำ Franchise ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเลือกคนที่จะสามารถพาร้านอาหารให้ไปในทิศทางเดียวกับร้านแม่ได้ Ray เริ่มต้นจากการหา Franchisee ด้วย Connection ส่วนตัว (เหมือนกับ Startup ทั่วไปที่เริ่มจาคนใกล้ตัวก่อน) แต่ก็ล้มเหลวและเปลี่ยนวิธีหา Franchisee โดยการคัดเลือกคนที่อยากทำและจะสามารถทุ่มเวลาทั้งหมดให้มันได้เท่านั้น
·         Quality Control : เมื่อมีหลายร้านมากขึ้น การควบคุมงานก็ยากขึ้น เจ้าของ Franchise ต้องระบบบางอย่างเพื่อควบคุม Franchisee ให้ได้ โดย Ray เริ่มด้วยการลงเยี่ยมร้าน ช่วย Training สอน How to และในที่สุด ใช้วิธีทางกฏหมายคือเป็นเจ้าของที่ดิน
1.4    Working Together
·         ม้ว่าภาพฝันปลายทางอาจจะเหมือนกัน แต่วิธีการและระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ไม่เท่ากัน Ray ต้องการโตอย่างรวดเร็ว แต่ Mac กับ Dick กลัวความเสี่ยงมาก ดังนั้นหากมีการเจรจาหรือตั้ง KPI ร่วมกันจะช่วยบรรเทาความขัดแย้งได้
·         การสร้างความเชื่อใจและการสื่อสารอย่างโปร่งใส่ระหว่างกัน (อย่ากระแทกหูโทรศัพท์ใส่กัน !) ความสัมพันธ์ระหว่างกันอาจจะสำคัญกว่าสัญญาบนกระดาษก็เป็นได้   
·         ควรรับฟังและหาทางออกร่วมกัน Mac และ Dick คิดว่ามีสัญญาในมือและ ไม่มีพื้นที่ในการทำงานให้ Ray มากนักจนเกิดความขัดแย้งในหลายกรณี เช่น กรณี Insta-mix เป็นต้น
1.5   Helpful Partner / Talent Management : ในการขยายกจการก็ต้องใช้ทีมงานที่ดี Ray เก็บลูกน้องที่คิดว่ามี Potential ไว้ใกล้ตัวและปั้นเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพในการขยายการทำงาน
1.6   If you don’t grow, you’re DEAD :  กิจการ ถ้าไม่โต ไม่นานก็จะมีคนเข้ามาแข่ง และไม่นานก็จะตาย หรือแย่กว่านั้นคือเป็น Zombie ที่ไม่สามารถไปไหนได้ เหมือน Mac และ Dick เจอและคิดได้ช่วงอยู่โรงพยาบาล Mac ได้พูดออกมาว่า “We’ll never beat him”  

2         การสร้างอำนาจในการควบคุม : The Power of Control
2.1   Empathy First : การขยายกิจการแบบ Franchise คือการทำงานร่วมกันของคนหลายส่วนที่ต้องไปในทิศทางเดียวกัน (เช่นเดียวกับธุรกิจแบบอื่นๆ) หากมีคนถูกเอาเปรียบหรือไม่สามารถโตไปพร้อมกับองคาพยพหลักได้ ไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ก็ไม่อาจสร้างความยั่งยืนในการดำเนินงานได้ การใช้กฏหมายจึงเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างกรอบการทำงานร่วมกันเพื่อให้ สิทธิ-หน้าที่ ในการทำงานร่วมกันชัดเจนขึ้นเท่านั้น  
2.2   Contract : อย่างที่ Ray ได้กล่าวว่า “Contracts are like hearts. They’re made to be broken.” ในการดำเนินงานจริงในระยะยาว สัญญาจะไม่สามารถบอกวาอะไรทำได้หรือไม่ได้อย่างชัดเจนอีกต่อไปเนื่องจากสถาการณ์และสถานะของธุรกิจที่เปลี่ยนไป การเซ็นสัญญาของ Ray ในตอนแรกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีทนาย ไม่ได้ประเมินอย่างละเอียดก่อน ทำให้มองข้ามเรื่องรายได้ไปจนเป็นผลต่อเนื่องถึงอนาคต โดยในสัญญาระบุว่า Ray ได้ผลตอบแทน 1.9% และต้องแบ่งให้ Mac และ Dick 0.5% เหลือเพียง 1.4% ซึ่งกระทบ Cash flow และความสามารถในการขยายกิจการของ Ray และการต่อรองเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งก็ยากเพราะ Mac และ Dick ไม่อนุญาตและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญา โดยไม่สนใจความลำบากของ Ray
2.3   Assets  Breakdown : หลังจากที่ได้ Harry j. Sonneborn มาดูเรื่องการเงินและพบว่าปัญหาที่ Ray กำลังเจอ คือ  1. มีกระแสรายได้ที่น้อยมาก (1.4% จากยอดขาย) ทำให้ 2. ไม่มีเงินสดสำรอง 3.การทำสัญญาระยะยาวที่ผูกมัดและเป็นอุปสรรคในการขยับขยาย จึงได้เสนอทางออกให้ Breakdown กระบวนการทำงานและสินทรัพย์จนพบว่า ที่ดิน คือสินทรัพย์ที่สำคัญที่จะสร้างทั้งรายได้และอำนาจในการควบคุมกิจการ และลดทอนความเป็นเจ้าของของ Mac และ Dick ลงอย่างมาก โครงสร้างและวิธีการทำงานของ Ray ก็เปลี่ยนไป เกิดเป็น Franchise Realty Corporation ควบคุมอำนาจผ่านการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้แมคโดนัลด์ กลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและบีบให้ Mac และ Dick ต้องขายความเป็นเจ้าของในที่สุด โดยได้รับเงินเพียงคนละ 1.35 ล้านดอลล่าเท่านั้น
2.4   Hand Shake Contract : Mac และ Dick เจราจาขอค่า Royalty 1% จาก Ray แต่จากการเจรจาการทำข้อตกลงจบด้วยวิธีการจับมือแทนการเซ็นสัญญา ทำให้สองพี่น้องไม่เคยได้ค่า Royalty เลยจนถึงปัจจุบัน  เพราะไม่สามารถพิสูจน์ต่อศาลได้ว่าเกิด สัญญาขึ้นจริงๆ
2.5   Intellectual Property control : สินทรัพย์ที่พอจะสร้างความได้เปรียบในการต่อรองให้ Mac และ Dick ได้คือ IP ทั้งหลาย เช่น Trademark, Process ต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ทำการปกป้องไว้ในรูปแบบใดเลย ทั้งการจดและTrade secretรวมทั้งในสัญญาเดิมก็ไม่ได้มีระบุขอบเขตอำนาจใดๆนอกเหนือจากกิจกรรมในร้าน ทำให้เป็นช่องว่างให้ Ray สามารถ Claim ทุกอย่างมาเป็นของตัวเองได้ในท้ายที่สุด
สุดท้ายของภาพยนตร์ Spirit in The Skyถูกเลือกเป็นเพลงประกอบ และสื่อ(แบบกัดจิก) เป็นอย่างดีของคนแบบ Ray Kroc ผู้ที่มองเห็นภาพตัวเอ “When I die and they lay me to rest,gonna go to the place that’s the best” ซึ่งในท้ายที่สุด Ray ได้ทุกอย่างไปครอบครอง ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ (รวมทั้งภรรยาของ Partner) และสร้างจักรวรรดิ์ที่เสิร์ฟอาหารให้คน 1% ของโลก ด้วยสิ่งที่เขาเชื่อเสมอมาและเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในตัวมนุษย์ผู้นี้ คือ “Persistence” ความมุ่งมั่นแบบกัดไม่ปล่อยนั่นเอง

“ Persistence , Nothing in the world can take the place of persistence
Talent won’t ; nothing is more common than unsuccessful men with talent
Genius won’t ; unrewarded genius is practically a cliché  
Education won’t ; the world is full of educated fools

Persistence and determination alone are all powerful”
The Founder, 2016

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน : ความสำคัญและแนวทางการจัดการห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนในธุรกิจอาหาร


ความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน : ความสำคัญและแนวทางการจัดการห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนในธุรกิจอาหาร
สำหรับผู้ประกอบการใหม่ การเปลี่ยนแปลงและปัญหา นำมาซึ่ง โอกาส
โลก เปลี่ยนผ่านจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 และ 2 ก่อนจะเข้าสู่เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสากรรมครั้งที่ 3 ที่ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีและข้อมูลขั้นสูงขึ้นที่ทำให้ประสิทธิภาพประสิทธิผลการผลิตยิ่งก้าวหน้ากว่าที่ผ่านมา แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มาพร้อมกับต้นทุนมหาศาล นั่นคือการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ก่อให้เกิดปัญหา เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วิกฤติการณ์ความยั่งยืนด้านอาหาร การใช้แรงงานในการผลิตอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น มากไปกว่านั้น หากโลกกำลังจะต้องรองรับประชากรกว่า 9 พันล้านคนในปี 2050 แล้ว การฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ควรเป็นการปฏิวัติเพื่อให้นำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนใช่หรือไม่ ?
การจัดการห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ของบริษัทไม่ว่าจะเกิดใหม่หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก มีแนวโน้มพัฒนาบนพื้นฐานของการสร้าง ความยั่งยืน เป็นหลัก ซึ่งคือการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ริดรอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลังนั่นเอง
ทำไมผู้ประกอบการด้านอาหารใหม่ๆ ต้องคำนึงถึงการจัดการห่วงโซ่อุปทานยั่งยืน ?
Supply Chain อาหาร เป็นหนึ่งในห่วงโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงผลลัพธ์ของกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลเสียต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การพัฒนา New venture หรือการพัฒนา Business Models ใหม่ๆนั้นจึงต้องอิงตามการเปลี่ยนแปลงด้าน Life style ของผู้บริโภคข้อนี้ด้วย จาก the Regeneration Consumer Study พบว่าผู้บริโภคพร้อมที่จะจ่ายมากขึ้น  26-60% เพื่อสินค้าที่รับผิดชอบสิ่งแวดล้อมและสังคม และยังเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นด้วย จนเกิดแรงผลักในระดับนโยบาย เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) ที่เน้นการปรับปรุงระบบห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรกับสิงแวดล้อม หรือมีมาตรการทางภาษีอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น
การวางแผนและการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ การจัดการที่มีประสิทธิภาพทั้งภายในและระหว่างห่วงโซ่อุปทานจะทำให้การไหลของสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้รับราบรื่น รวดเร็ว ลดต้นทุนในการดำเนินงาน ลดความเสียหายที่เกิดจากการเน่าเสีย และสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า
อีกทั้ง ผู้ประกอบการรายใหม่ในปัจจุบันต้องพึ่งพานักลงทุนอย่างมากในการเริ่มต้นธุรกิจ นักลงทุนสมัยใหม่สนใจในการปรับตัวของภาคธุรกิจอาหารและครื่องดื่มในการตอบรับความท้าทายที่เกิดขึ้นกับ Supply Chain โดยเฉพาะกับภาคเกษตรกรรมที่เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหาร และถูกนำมานับเป็นความเสี่ยงหนึ่งในการพิจารณาการลงทุนด้วย



แล้วธุรกิจเกิดใหม่ จะทำอย่างไรในการจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีความยั่งยืน ?
บริษัทเก่าแก่และใหญ่โตอย่าง McDonald มีการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนร่วมกับผู้ส่งมอบ โดยประกาศวิสัยทัศน์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานไว้ชัดเจนว่า “องค์กรจะจัดหาอาหารและบรรจุภัณฑ์จากแหล่งการผลิตอย่างยั่งยืน” เช่น การให้ความสำคัญกับพนักงาน สัตว์ วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การคัดสรรแหล่งวัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การส่งมอบลูกค้าในราคาที่เหมาะสม การค้าที่เป็นธรรมกับเกษตรกรและะไม่สร้างให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนที่เกิดจากการดําเนินกิจกรรมของผู้ส่งมอบ ส่วน Unilever ก็ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยหลายแสนรายพัฒนาวิธีการทำการเกษตรให้ได้ผลผลิตดีขึนและไม่กระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้เกิดความยั่งยืนและสนับสนุนแผนการเติบโตในระยะยาวของบริษัทได้อีกด้วย ใจขณะที่ Tesco Lotus ก็มีการจัดอาหารเหลือทิ้ง (Food waste) โดยการวางแผนการทำงานร่วมตั้งแต่เกษตรกรจนถึงขั้นตอนหลังจากวางขายแล้ว
จะเห็นได้ว่า การจัดการห่วงโซ่อุปทานให้ยั่งยืน เป็นการวางแผนการดำเนินการทั้งระบบและต้องสร้างความร่วมมือจากหลายฝ่ายตั้งแต่ จัดหาวัตถุดิบ(Source) การผลิต(Production) การจัดเก็บ (Inventory) การส่งมอบ(Packaging/Delivery/Distribution)  การรับของคืน(Return) ดังนั้น ธุรกิจใหม่จึงควรจะวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นเพื่อการทำงานเชื่อมร้อยกันของคนทั้งห่วงโซ่ สามารถเริ่มได้โดยการวิเคราะห์ทุกกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อคาดการณ์จุดที่ต้องพัฒนาปรับปรุง ซึ่งอาจมีการยึดหลัก 3R (Reduce Reuse Recycle) หรือกฎระเบียบและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรฐาน ISO 14001 หรือออกแบบ Closed-Loop Supply Chain (CLSC) ในการวางแผนด้วย โดยส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความร่วมมือขึ้นได้จริงคือการสร้างความโปร่งใสและการแบ่งปันข้อมูลที่สามารถสืบย้อนได้ และการกระตุ้นช่วยเหลือระหว่างกัน ที่สำคัญ ต้องสามารถวัดผลได้ ซึ่งอาจจะใช้หลักความสูญเสีย 7 ประการ ของบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ มาใช้ออกแบบการวัดผล ได้แก่ ความสูญสัยที่เกิดจาก 1.การผลิตมากเกินไป 2.การผลิตของเสีย 3.ความล่าช้า 4.มีวัสดุคงคลังที่ไม่จเป็น 5.การขนส่งหรือขนย้าย 6.กระบวนการผลิต  7.การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอาจพบว่าการเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลของการดำเนินธุรกิจไม่สอดคล้องกับการจัดการเพื่อความยั่งยืน เช่น การที่ต้องลงทุนสูง ทำให้ต้องปรับราคาสินค้าสูงขึ้นตามและเสียเปรียบคู่แข่ง ผู้ประกอบการจึงควรหาวิธีสื่อสารคุณค่านั้นให้ถึงลูกค้าและเกิดความตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงที่ถูกส่งมอบไปกับสินค้าด้วย เพราะสุดท้าย ปลายน้ำของผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นก็คือผู้บริโภคเอง
          ถึงตรงนี้แล้ว หากท่านผู้อ่านคิดว่ายาก อย่าลืมเสียว่า การเปลี่ยนแปลงและปัญหา นำไปสู่โอกาสที่ดีกว่าได้เสมอ ดังตัวอย่างธุรกิจเกิดใหม่ต่อไปนี้ ที่เปลี่ยนปัญหาความไม่ยั่งยืนใน Supply Chain เป็นโอกาสได้อย่างสวยงาม
          Siam Organic Co., Ltd. เป็นบริษัทการเกษตรของไทยที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่ถึง 10 ปี เมื่อผู้ก่อตั้งพบว่า ใน Supply Chain ข้าว อาหารหลักของผู้คนทั่วโลก ที่ปลายสุดข้างหนึ่งคือชาวนารายย่อยยังได้รับความลำบากจากความยากจนเพราะข้าวขายไม่ได้ราคา ต้นทุนสูง และระบบเกษตรที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่วนปลายน้ำคือผู้บริโภคเองก็ได้รับข้าวที่ไม่มีคุณภาพจากการใช้สารเคมี บริษัท Siam Organic ภายใต้ Brand Jassberry จึงเป็นตัวกลางระหว่างผู้บริโภคปลายน้ำและผู้ผลิตต้นน้ำเพื่อจัดการให้ความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยการเริ่มลงทำงานกับเกษตรกรตั้งแต่ 1.การช่วยหาเมล็ดภัณฑ์ Non-GMO คุณภาพสูง เพื่อผลผลิตสูง รสชาติดี สารอาหารสูง 2.ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในการเตรียมปลูก เพื่อให้ได้ข่วงเวลาเพาะปลูกที่เหมาะสมซึ่งช่วยให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นตามมา รวมทั้งเชื่อมโยง Microfinance กับองค์กรระดับโลกอย่าง Kiva เพื่อกู้เงินซื้อปุ๋ยได้ในช่วงเวลาเพาะปลูก 3.ข้าวของ Jassberry ปลูกเพียงปีละครั้งโดยใช้เวลา 6 เดือนในการปลูก โดย Siam Organic จะช่วย Training ชาวนาในการดูแลการปลูกเพื่อให้ได้มาตรฐานสากลซึ่งไม่ใช้สารเคมีอันตรายหรือยาฆ่าแมลง 4.การเกี่ยวข้าวด้วยมือทั้งหมดเพื่อให้ได้ข้าวคุณภาพดีที่สุดและช่วยลดมลภาวะที่เกิดจากการใช้เครื่องจักร โดย 25% ของข้าวชาวนาจะเก็บไว้รับประทานเองและ Siam Organic การันตีจะรับซื้อส่วนที่เหลือ 5.ชาวนาจะเคลื่อนย้ายผลผลิตไปเก็บที่โรงสีสหกรณ์และอยู่ที่นั่นจนพร้อมที่จะแพ็คและขนส่งไปให้ผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่เป็นตลาดต่างประเทศ โดยได้ราคาดีกว่าทั่วไปถึง  200%
ปัจจุบันแบรนด์ Jassberry เป็นผลผลิตจากชาวนากว่า 1,816 ครัวเรือน และสร้างคุณค่าให้สังคมได้กว่า 3,351,808 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรนั่นเอง นับว่า Siam Organic ได้เพิ่ม Value ใน Supply Chain เดิมของข้าวได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถวัดผลได้ ในขณะที่สร้าง Competitive Advantage ให้บริษัทเองจากการสร้างคุณค่าที่ลอกเลียนแบบได้ยากนี้
บริษัท FoodCloud เป็น Food Startup ชื่อดังจากประเทศไอร์แลนด์ที่เกิดจากการเห็นปัญหาใน Supply Chain เช่นกัน เมื่อผู้ก่อตั้งพบว่า โลกมีอาหารเหลือทิ้งกว่า 1,300 ล้านตัน โดยใช้น้ำมัน 300 ล้านบาเรล น้ำ และแผ่นดินจำนวนมหาศาล ไปกับผลิตอาหารที่เหลือทิ้งนั้น ในขณะที่ยังมีคนจำนวนมาก ที่เข้าไม่ถึงอาหารอย่างเพียงพอ FoodCloud จึงเกิดขึ้น โดยความร่วมมือของผู้เล่นสำคัญๆในห่วงโซ่นี้
FoodCloud สร้าง Platform Application เชือมโยงข้อมูลระหว่าง Super Market กับองค์กรการกุศลท้องถิ่น เพื่อรายงานว่า Super Market นั้นๆ มีอาหารสภาพดีที่ไม่สามารถวางขายบนชั้นได้อีกต่อไป เพื่อให้องค์กรการกุศลท้องถิ่นนั้นไปรับอาหารและแจกจ่ายให้กับผู้ขาดแคลน ซึ่ง Super Market เองก็ได้เปลี่ยนขั้นตอนการจัดการของเสียไปเป็นการสร้างคุณค่าดีๆให้ชุมชน เกิดเป็น Supply Chain ใหม่ที่สร้างคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยปัจจุบัน FoodCloud มี Partners รายใหญ่อย่าง Tesco, AlDI, LIDL, Waitrose ทั้งในไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร และยังเป็น Redistributed Food Business Model ยุคใหม่ที่สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
จากทั้งหมดที่เกิดขึ้นในธุรกิจอาหารที่ได้กล่าวมานั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ที่จะผลักดันให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เป็นการปฏิวัติที่นำไปสู่การบริโภคอย่างยั่งยืนผ่านแนวคิด Sustainable Supply Chain Management ?  
อ้างอิง
1.       ELLIOT MARAS, 2017, Sustainable Food: The Supply Chain Holds the Key to Success
2.       ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 2558, ความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน,  คอลัมน์ CSR talk โดย ฝ่ายความยั่งยืน สถาบันไทยพัฒน์
เข้าถึงได้จาก https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1440658692
3.       Sarita Nayyar, 2016, Sustainable consumption and the Fourth Industrial Revolution
4.       สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า, 2017, #thsdg17: Business in Action (2) Sustainable Supply Chain กรณีเทสโก้ฯ-ซีพีเอฟ-ดีแทค
เข้าถึงได้จาก https://thaipublica.org/2017/06/thsdg17-business-in-action-2/
5.       Dave Blanchard, 2017, Top 25 Supply Chains of 2017
6.       SHANNON LEWIS, 2018, Top 10 biggest supply chains
7.       ป่าสาละ, 2015, B Talk ครั้งที่ 3 “Why sustainable food supply chains matter?”
เข้าถึงได้จาก http://www.salforest.com/events/btalk-no-03
8.       The Economist, 2012, The third industrial revolution
เข้าถึงได้จาก https://www.economist.com/node/21553017
9.       Raz Godelnik, 2012, 2012: Four Trends in Sustainable Consumption
10.   วารสารสื่อพลัง และ วิชาการ.คอม, 2011, ห่วงโซ่สีเขียวสู่ความยั่งยืน Green Logistics, a Green Supply Chain to Sustainability
เข้าถึงได้จาก http://www.vcharkarn.com/varticle/43151
11.   สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ, 2017, สร้างห่วงโซ่อุปทานแห่งความยั่งยืน
เข้าถึงได้จาก http://www.ftpi.or.th/2017/12890
12.   Mary Ann DiMascio, 2017, Investors cultivate more sustainable food supply chain
14.   Killian Woods, 2017,  When we launched FoodCloud it didn't work at all. We had to go back to the drawing board, thejournal.ie