หลังจากได้ทำความรู้จักกับซูริคไปคร่าวๆแล้ว ก็ไปเดินเที่ยวกันต่อเลย
เรามุ่งหน้าหา landmark ด้วยการเดินลัดเลาะริมแม่น้ำ limmat (แม่น้ำที่ไหลลงไปทะเลสาบซูริค) แม่น้ำเค้าสะอากมากชริงงงงๆ และมักจะเห็นเจ้านกเป็ดน้ำอยู่ทุกที่ที่มีน้ำ คือนกเป็ดน้ำเป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุดในประเทศนี้เลยสำหรับเรา 555 แค่ยืนดูมันว่ายๆดำๆ ก้เพลิน บอกไม่ถูก แม่ก็ด่าว่า เอ้าาา มาเที่ยวทำไมมึงไม่ดูตึกดูวิว มึงดูแต่เป็ด ...
เดินๆไปก็จะพบว่ามีท่าเรืออยู่ตามริมฝั่ง อะไรๆก็ดูเรียบร้อย สะอาดสะอ้านไปหมด
 |
ชีวิตดี๊ดี ชะนีนั่งอ่านหนังสือตากแดดบนท่าเรือ |
 |
ตึกเค้าก็แนวๆนี้ไปหมดอะ สวยสมกับราคา 555 |
คนแถวนี้ชอบนั่งตากแดด (อย่าผวน)
คือ แดดร้อนมากกกกกกกกก แรงมากกกกก เข้าขั้นแสบอะแก คือ แดดไทยไม่แรงขนาดนี้นะ ที่นี่แรงขนาดที่ว่าอยู่ในร่มจะอากาศหนาว แต่พอออกไปกลางแดดกลายเป็นร้อนไปเลยอะ ถอดเสื้อคลุมเดินไปเลย แสบผิวกันไป
เป้าหมายของเราคือเดินชมเมืองกับดู 3 โบสถ์ อันได้แก่ Fraumunster , Grossmunster และ St.Peter ซึ่งทั้งหมดอยู่ในละแวกเดียวกัน
ซึ่งจริงๆโบสถ์หลักๆของซูริคมี 4 แห่ง ใกล้ๆกันหมดเลย แต่อีกอันแค่เดินผ่าน ไม่ได้เข้าไป ชื่อโบสถ์ Prediger
คือซูริคเนี่ย ที่มีบันทึกไว้ก็จะเห็นชัดเจนว่าเริ่มเป็นเมืองตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน (ถ้าปีนโบสถ์ Grossmunster ขึ้นไปดู จะเดินผ่านภาพวาดที่แสดงให้เห็นเมื่อตอนที่แถวนี้มีคนมาตั้งรกรากใหม่ๆ ลักษณะเหมือนโคกเหมือนป่าแถวบ้านกูอะ 555 มีแม่น้ำไหลผ่าน มีบ้านหลังสองหลัง) แต่น่าจะมีคนอยู่แถวนี้กันมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาลแล้ว เพราะมีเจอหลักฐานยุคหินใหม่และยุคสัมฤทธิ์บริเวณใกล้ทะเลสาบ
เราไทม์แล็บข้ามมาตอนที่จักรวรรดิโรมันล่มสลายประมาณปี ค.ศ. 400 กว่าๆ กันเลยดีกว่าค่ะคุณผู้ชม ตอนนั้นกษัตริย์คอนสแตนตินปกครอง แล้วก็มีการประกาศให้นับถือศาสนาคริสต์ คริสตจักรก็เป็นใหญ่เลยจ้าาา มีอำนาจในทุกด้าน ทั้งการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ทุกอย่างอะหอย!!
นั่นแหละจ้าาา ยินดีต้อนรับสู่ยุคมืดจ้าาาาา (หรือยุคกลางนั่นเอง) ก็เป็นยุคที่ผู้คนทั่วยุโรปถูกปิดกั้นทางความคิดมากๆเลย เกิดระบบฟิวดัล แมเนอร์ ก็แถวๆนี้แหละมึง
ดังนั้น โบสถ์แรกที่เราจะไปดูนี่ เป็นเหมือน headquarter เพื่อรักษาอำนาจของคริสตจักรและชนชั้นสูงใน Zurich และศิลปะก็จะเป็นแบบโกธิกซึ่งเป็นจุดเด่นของศิลปะยุคกลาง นั่นคือโบสถ์ Fraumunster นั่นเอง เงง เงงงง เงงงง
 |
เจอแล้ววววว |
ยอดโบสถ์เป็นสีเขียวๆนั่นแหละ Fraumunster นี่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 853 นะแกรรรรรรร เป็นพันปีเลยหรอวะ หรือกูเข้าใจอะไรผิด ??? เทียบแล้วมันคือ พ.ศ .1396 !!!!!!!!!!
แกรรรรรร !!!!! ปี พ.ศ. 1396 นี่คือประเทศไทยเพิ่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อะแกรรรร คือเพิ่งมีการบันทึกอะไรต่างๆเป็นลายลักษณ์อักษร ศิลาจารึกอะแกรรร ยังเป็นอาณาจักรโบราณ (ทวารวดี โคตรบูร ตามพรลิงค์ ขอม อะไรแถวนั้นอะ ก่อนยุคสุโขทัย) สร้างก่อนนครวัดสามร้อยปีเลยนะเว้ยยย นานชิบหาย พุทธศาสนาก็เพิ่งเข้ามาในไทย ตอนนั้นกูก็วิ่งพุ่งหอกแทงหมูป่าอยู่แถวๆเขมรนู่นน่ะ 5555
 |
ภาพมหาวิหาร Fraumunster ตอนกลางคืน จาก www.molon.de |
ปี ค.ศ. 800 พระเจ้าชาร์เลอมาญแห่งอาณาจักรแฟรงค์ (ฝรั่งเศส) ได้รวบรวมดินแดนในยุโรปเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ซึ่งคนที่สร้างโบสถ์ fraumunster ก็คือหลานปู่ของพระเจ้าชาร์เลอมาญ คือ Emperor Ludwig (Louis the German) สั่งให้สร้างโบสถ์ Fraumunster เมื่อปีค.ศ. 853 เพื่อยกให้ลูกสาวซึ่งเป็นแม่ชีคนแรกและก่อตั้งคณะชีของหญิงสูงศักดิ์ขึ้นมา แล้วก็มีสิทธิ์ควบคุมระบบกษาปณ์รวมทั้งใช้เป็นที่สวามิภักดิ์ของผู้อพยพและนิกายอื่นๆ ตั้งแต่นั้นมาอีกหลายร้อยปีโบสถ์นี้ก็มีหญิงสูงศักดิ์ชาวเยอรมันที่อุทิศตนให้ศาสนาหลายๆคนมาสืบทอด มันถึงถูกเรียกว่า church of our lady ไงล่ะแกกกก
หลังจากนั้นก็เกิดปฏิวัติสวิตเซอร์แลนด์ ระบบนี้ก็เลยยุบไป โบสถ์คาทอลิกนี้ก็กลายเป็นนิกายโปรเเตสเเตนท์แทน (อ่านเพิ่มได้ที่www.sacred-destinations.com/switzerland/zurich-fraumunster)
ที่เด่นๆของโบสถ์นี้ก็จะเป็น กระจกสีๆ ข้างใน สวยดีจ้าาา
 |
เลดี้ทั้งนั้น เลดี้ล้วนๆ |
 |
ตอนแรกก็งง ทำไมมีแต่รูปผู้หญิงวะ |
 |
รูปปั้นนี้คือ Hans Waldmann ผู้ปกครองคนแรกๆของซูริคเลยนะแกรรร มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1435-1489 คุณพระอกอีแป้นจะแตก นานมวากกกก รูปปั้นแกอยู่หน้าโบสถ์ Fraumunster นั่นแหละ |
 |
อะ รูปนี้ถ่ายจากฝั่งโบสถ์ Fraumunster ไปเห็นโบสถ์ Grossmunster |
สะพานนี้คือสะพาน munster (
Münsterbrücke - munster ก็คือ minster ในภาษาอังกฤษอะ) ซึ่งเดินข้ามไปก็จะเป็น Grossmunsterเลย
แต่เนื่องจาก St.Peter กับ Fraumunster อยู่ฝั่งเดียวกัน เราเลยจะเดินไป St. Peter กันก่อน
 |
แม่ระหว่างทางไปโบสถ์ St.Peter |
สิ่งที่ดีงามของเมืองเก่าซูริคนี่คือ ความซอกแซกของร้านค้า ของบ้านคน มันน่าสนใจมาก เหมือนเค้าอยู่กันแบบนี้มานานแล้ว พื้นก็ปูด้วยอิฐ เดินง่าย สะอาดเอี่ยม มีร้านน่าสนใจตามซอกตามหลืบ
แกดูความน่ารักของสีตึกข้างมหาวิหารนะ เป็นร้านอาหาร ร้านไอติม ร้านอะไรเล็กๆน้อยๆ น่ารักมาก
 |
ร้านชมพูทั้งร้าน !! |
 |
ถ่ายจากหน้าทางเข้า Fraumunster ซึ่งมองไปเห็น St.Peter เลย |
ทางไป St.Peter ก็คือหลืบตรงกลางนั่นแหละ จะเห็นยอดโบสถ์อยู่ไกลๆ ทางเดินก็จะเป็นหมู่บ้านซอกซอยตึกที่ต้องขึ้นเนิน
และเห็นไซต์ก่อสร้างนั่นมั้ย แม่ชั้นตาไวมาก เห็นคนงานก่อสร้างกำลังทำงานอยู่ .... นางหล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ..... ชั้นถึงกะเหลียวหลังไปมองใหม่ อายุไม่น่าเกิน 17-18 อะ คือดี น้องงง รู้จักทำงานแล้ว ชั้นก็ปลื้ม แม่ชั้นยิ่งปลื้ม นางชมใหญ่เลย เด็กยุโรปทำงานเป็น โตไว เก่ง เพราะมีความรับผิดชอบ หาเงินเองแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ... คือน้องมันก็มองๆยิ้มๆอะนะ เพราะอีสองแม่ลูกคือ มองอย่างจริงจังมากและยิ้มให้อย่างหวังผล 555 .... แต่ไม่ได้ขอถ่่ายรูป เกรงใจน้องทำงานอยู่
เดินไปตามทางแปปปปเดียวก็ถึงแล้วนาจาาาาาาา
 |
โบสถ์ St. Peter |
 |
โบสถ์ St. Peter |
นาฬิกาที่เห็นนี้เป็นหน้าปัดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปนาาจาาาา ข้างในก็มีศิลปะบนฝาผนังเก่าแก่ โบสถ์นี้สร้างทับวิหาร Jupiter ของโรมัน ( ก็เลยชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่เก่่าที่สุดในซูริค สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นล่ะมั้ง 555)
ที่น่าสนใจคือยอดแหลมๆข้างบนนั้นเคยเป็นที่พักของ watchman ซึ่งมีหน้าที่ออกมาส่องทุก 15 นาทีเพื่อป้องกันไฟไหม้ !! มึง... ทุก 15 นาทีค่ะ ห้าๆๆๆ คือถ้ามีไฟไหม้นางจะตีระฆังแล้วก็ห้อยธงหันหน้าไปทางที่ที่มีไฟไหม้ ... ผลคือ ... ซูริคเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของยุโรปที่ไม่เคยเกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่เลยจ้าาาา เลิศศศศ
แต่กุไม่ได้เข้าไปดู เพราะอะไรจำไม่ได้ 555
 |
ดอกไม้มีทุกที่เลย นี่คือตึกหน้าโบสถ์ กับต้นไม้สีดำ ได้บรรยากาศ มีความยุโรปมากกกก |
 |
รอบๆโบสถ์ก็มีบ้าน ชอบบ้านแถวนี้นะ มีสวนเล็กสวนน้อยให้เห็นอยู่ตลอด |
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินไปที่ Grossmunster กันเลยยยย (ไปอีกทางนึง ไม่รู้ทางไหนเหมือนกัน 555)
 |
เดินกลับใหม่ ง่ายกว่าเดิมเพราะลงเนิน 555 |
 |
ป้ายหน้าโบสถ์ |
เย้ ถึงแว้ววววว
คือมหาวิหารนี้ (ต่อไปขอใช้คำว่าโบสถ์เฉยๆ) ตั้งอยู่บนเนินสูงๆ รอบๆโบสถ์จะมีเหมือนเป็นชั้นลอยให้คนไปนั่งเล่น ข้างล่างก็จะเป็นร้านค้า ร้านของฝาก น่ารักๆ ตัวโบสถ์เป็นแบบโรมาเนสก์ื ไม่ใช่โกธิค
เราชอบการจัดระเบียบแบบนี้ ไม่เหมือนประเทศเราเลย สถานที่สำคัญหลายๆที่ ร้านค้าแม่งแทบจะอยู่ตรงกลาง อีดอกกก อะไรของเมิงงงงงงงงงง สกปรกอีกต่างหาก บ้าบอที่สุด
คือโบสถ์นี้เป็นตัวจี๊ดเลย (Grossmunster = Great Minster) โบสถ์นี้สร้างขึ้นทับโบสถ์เก่าของราชวงศ์แห่งกษัตริย์ชาร์เลอมาญ ตอนที่สร้างโบสถ์เก่านั้น กษัตริย์ชาร์เลอมาญเสด็จผ่านบริเวณนี้ ม้าที่พระองค์ทรงอยู่ก็หยุดตรงที่มีหลุมศพของมรณสักขี 3 คน
มรณสักขี (martyr) หมายถึงคริสต์ศาสนิกชนที่ถูกทรมานจนตายหรือถูกฆ่าหรือถูกลงโทษให้ทรมานและประหารชีวิตเพราะความเชื่อ เช่นถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย ถูกตรึงกางเขน ถูกเผาทั้งเป็น และอื่น ๆ - ข้อมูลจากวิกิ
ทั้ง 3 คนถูกประหารในปี ค.ศ. 286 ตำนานกล่าวว่าทุกคนถูกทรมาน จับไปต้มในน้ำมัน กรอกตะกั่วร้อนๆ ก็ยังไม่ตาย สุดท้ายโดนตัดหัว สามคนนี้ก็ยังถือหัวตัวเดินขึ้นเนินไปขุดหลุมฝังศพตัวเองจ้าาา สตรองมากกก อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.sacred-destinations.com/switzerland/zurich-grossmunster
ซึ่ง 3 คนนี้ก็ได้เคยปรากฏบนเหรียญของซูริคและยังคงเป็นตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของตราประทับของซูริคจนกระทั่งปัจจุบันจ้าา
 |
3 martyrs รูปจาก wikipedia |
อะ กลับมาที่โบสถ์ ห้าๆๆ โบสถ์นี่สร้างประมาณปี 1100 เสร็จปี 1220 ( ใช้เวลาร้อยกว่าปี!) ช่วงปี 1100 ก็ตรงกับที่ประเทศไทยเราเองก็ยังเป็นชนเผ่าต่างๆอยู่เลย
เรียกได้ว่าโบสถ์ Grossmunster นั้นเป็นอริกับ Fraumunster มาตลอดยุคกลาง มีการแข่งกันว่าใครมาก่อน แต่ถ้านับตั้งแต่ช่วงที่เป็นโบสถ์เก่าของกษัตริย์ชาร์เลอมาญแล้ว Grossmunster เก่ากว่าแน่นวลลลล
นอกจากเรื่องความเก่าและตำนานแล้ว Grossmunster ยังมีความสำคัญระหว่างการ reform หรือการปฏิวัติของซูริค ซึ่งที่นี่ได้ถูกใช้เป็นที่เผยแพร่แนวคิดในการปฏิวัติของ
Huldrych Zwingli
 |
รูปคุณ Zwingli จาก wikipedia |
Zwungli เริ่มด้วยการเรียกร้องให้บาทหลวงแต่งงานได้ (ซึ่งนางแต่งไปแล้ว 555) ต่อเนื่องจนซูริคก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางการถกเถียงกันด้านศาสนาและเสรีภาพ จนมีสงครามระหว่างคาทอลิกและโปรเเตสแตนท์ซึ่ง Zwingli ก็ถูกฆ่าตายในสงครามนี้ ร่างถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนและเผา
บริเวณที่ Zwungli ตายจึงมีคำจารึกไว้ว่า "They may kill the body but not the soul" ... หลังจากนั้นผู้นำการปฏิวัติจึงเปลี่ยนไปที่เจนีวา (John Calvin) และกระจายไปทั่ว มีสงครามและการสูญเสียเกิดขึ้นเยอะแยะยาวนาน .... จนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เป็นสวิตเซอร์แลนด์แดนแห่งความสุขวันนี้ไงแกรรรร
คนที่สนับสนุน Zwungli หลักๆก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นประชาชนและที่สำคัญคือเจ้าหญิง Katharina von Zimmern แม่ชีที่อยู่ที่ Fraumunster ในขณะนั้นเอง อย่างที่บอกไปแล้ว หลังการปฏิวัติ โบสถ์ Fraununster ก็เลยกลายเป็นโบสถ์นิกายโปรเเตสเเตนท์และสำนักแม่ชีที่ถูกควบคุมโดยชนชั้นสูงนั้นก็ถูกยุบไป (ยอมใจนางจริงๆ ปรบมือ) ถ้าเรียนจารย์ปิงมาจะรู้ว่า Protestant ก็มาจาก Protest ที่แปลว่าคัดค้านนั่นแหละจ้าาา
การปฏิวัติในซูริคครั้งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สวิตเซอร์แลนด์เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ของคำว่าพลเมืองและรัฐ :)) (อ่านเรื่องแบบนี้แล้วดีใจไปกับเขานะครับ ส่วนเราก็... รู้กัน)
เนี่ย จริงๆนะ "They may kill the body but not the soul" :))
 |
แม่หน้าโบสถ์ ประตูโบสถ์มีรายละเอียดเป็นรูปต่างๆสวยงามมาก จำไม่ได้ว่ารูปอะไร 55 แต่จำได้ว่ายืนดูครบทุกช่อง |
แล้วเราก็เสียตัง (จำไม่ได้ว่าเท่าไร ไม่เกิน 5 เหรียญ) ขึ้นไปบนยอดโบสถ์เพื่อดูวิวซูริคเต็มๆ ซึงบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ถ้าไปซูริค โคตรสวย ไปดูด้วยตาเหอะ มีปัญญาถ่ายมาแค่นี้แล 555 นี่ยืนดื่มด่ำอยู่นานมาก
 |
ขั้นเองงงง ให้ผู้แถวนั้นถ่ายให้ หนุ่มอิตาลี 55 ไวตลอด
นางยิ้มให้ชั้นด้วยตอนเราลงมาเจอกันข้างล่าง นางชอบชั้นเเน่ๆ
#เค้าถ่ายรูปให้มึงเค้าก็ต้องยิ้มให้มึงสิไอ้ฟายยยย |
 |
นั่นโบสถ์ St. Peter |
 |
เห็นทั้งซูริคเลย ของจริงสวยนะเว้ยยย |
 |
แม่น้ำ limmat ต่อลงทะเลสาบซูริค
คือหลังจากลงจากโบสถ์มาก็ได้เจอผู้ชายหล่อมากๆอีกแล้ว แต่คนนี้เป็นมนุษย์ผู้ชายที่หล่อที่สุดในชีวิตที่เคยเจอมนุษย์ทั้งมวลมาเลย แม่ชั้นบอกว่า มึงจะมองผู้ชายอะไรนักหนา สักพักนางก็หันไปชม ...ผู้ชายอีกคน ....
แก ... อย่างที่บอก ชั้นช็อคกับเมืองนี้มาก ทำไมมีแต่คนหน้าตาดี แต่งตัวดีขนาดนี้วะ
ชั้นกับแม่ก็เดินเลียบแม่น้ำเล่นกัน ผ่านร้านดอกไม้ ร้านนู้นร้านนี้ น่าสนใจมากที่เมืองถูกออกแบบมาให้มีทางคนเดินกว้างขวาง(มากกกกกก) ไม่มีรถเข็นอะไรมาขวางทางคนเดิน ยกเว้นหน้าร้านอาหารที่มีโต๊ะมาตั้ง แต่ก็ตั้งอย่างน่ารัก มีระเบียบ ไม่กีดขวาง มีร้านที่จะเรียกว่าเป็นกึ่งๆ street food ก็ว่าได้ ขายเครื่องดื่ม ขายอาหาร ขายฟองดู ให้คนได้นั่งตากแดด คุยกัน กินลมชมวิวแม่น้ำ ชีวิตโคตรดีเลย
เห็นหลายคนแย้งว่า street food ประเทศไทยมีเสน่ห์จะตาย คือ ชั้นคิดว่าเสน่ห์นั้นไม่ควรก้าวล้ำสิทธิ์ของคนเดินถนน อาหารข้างทางทำให้มีระเบียบและสะอาด ไม่รุกล้ำสิทธิ์คนอื่นได้ แต่ต้องการการจัดการ นึกภาพไม่ออกก็รู้จักเก็บตังไปเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวเมืองสะอาดๆบ้าง (นี่ด่านะหนิ)
|
 |
ป็อปคอร์นถูกกว่าหน้าโรงหนังแถวบ้านกุอีกกกก |
 |
ทางเดินใต้ตึก เลียบ limmat |
 |
ดอกไม้สวยมากกกก อยากมากับผู้ชายแล้วผู้ชายซื้อให้ 555 เห็นงี้ถูกกว่าที่ไทยนะ (ดอกไม้นะไม่ใช่กู) |
 |
สาวเวียดนามก็มาเที่ยวซูริค แต่น้องหลังเป็นสิวขนาดนั้นหนูไม่ควรใส่เสื้อเปิดหลังนะลูกกกก |
สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือเห็นคนเเก่เดินใช้ไม้เท้าหรือเก้าอี้รถไฟฟ้าไปไหนมาไหนเองได้สะดวกอยู่บ่อยๆ พวกนางก็ชมวิว เม้ามอยกันไป ดูเป็นมนุษย์ดีอะ ดูมีเวลาคิดถึงเรื่องรอบตัวดี
แต่ที่ไม่ชอบคือคนสูบบุหรี่กันเยอะมาก ทั้งเมือง ไม่รู้เพราะอากาศหนาวหรืออะไร แต่กูไม่หนาวขนาดนั้นนะ 5555 คือสูบทุกที่เลย ไม่มีห้าม สูบตรงไหน ทิ้งตรงนั้นเลยด้วย ไม่มีเศษขยะอื่นเลย มีแต่ก้นบุหรี่ (แต่เช้าวันต่อมาพื้นก็กลับดูสะอาดดีเหมือนเดิม) ซึ่งนี่กลับเข้าโรงแรมถึงกับเจ็บคอมาก (เวลานี่ได้กลิ่นบุหรี่เยอะๆจะเจ็บคอมาก มีเสลดหนักมาก)
แต่ด้วยความที่แต่งตัวดี หน้าตาดี เมืองสวย แล้วยิ่งถ้าสูบอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำนะ อยากเอากล้องมาถ่ายมากเลย นึกว่าถ่ายแบบกันอยู่!!!! เออ เป็นครั้งแรกที่คิดว่าสูบบุหรี่นี่แม่งเท่จริงๆ ยอมรับ 555
เดินเลียบเเม่น้ำเสร็จก็ข้ามฝั่งไปนั่งชิว เดินผ่านร้านอาหารไทยแบบ grab&go ไม่มีคนยืนเฝ้าหน้าร้าน แต่ได้ยินคนคุยกันจากในครัวเป็นภาษาอีสาน นินทาเจ้านายกำลังมันส์เลยไม่กล้าเรียก 555
เจอที่นั่งก็เลยนั่งชิว คุยนู่นคุยนี่ เม้ามอย พักขากันก่อนที่จะไปต่อ
 |
สภาพไม่ไหวละ |
 |
วิวขณะนั่งที่ม้านั่งริมน้ำ ที่มีทั่วไป |
พอพักเสร็จก็เดินเล่นต่อ บังเอิญขึ้นเขามาเจอที่ดูวิวในสวนสาธารณะ ดีงามมากกกกกก จริงๆดูเป็นสนามเด็กเล่นมากกว่า
 |
ของจริงมันสวยกว่านี้เยอะเลยนะ 555 |
 |
สะพานสวยๆ |
 |
ทางเข้าสวน |
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาสวนนี้ พอดีแม่ปวดฉี่เลยแวะเข้าห้องน้ำสาธารณะ 555 เเม่ง ดันสวยซะงั้น
หลังสวนนี้ เดินไปใกล้ๆ จะมีเนินเขาที่ขึ้นไปแล้วเห็นวิวเมืองซูริคที่มียอดเขาเต็มไปด้วยน้ำแข็งปกคลุมเป็นฉากหลัง ดีงามมากกกกก พอดีแบตหมดเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ นางชื่อว่า Lindenhof Hill มีประวัติศาสตร์น่าสนใจนะแต่ขี้เกียจอ่าน
ที่ชอบคือ วัยรุ่นมารวมตัวที่นี่เยอะมาก มีซ้อมเต้น มีนั่งเม้ามอยสวีทกัน มาทำกิจกรรมนู่นนี่ ร้องเพลง เป่าเครื่องเป่า วุ่นวายไปหมด 555 คนแก่ก็มานั่งดูเด็กทำกิจกรรม เพลินดีนะ แอบเห็นรูปว่ามีวิ่งมาราธอน มีนู่นนี่นั่นกันด้วย ไม่เอารูปมาแปะนะ ขี้เกียจหา 555
สรุปถ้ามาซูริคแนะนำ 2 ที่ดูวิว คือบน Grossmunster กับที่นี่แหละ Lindenhof Hill
 |
อาม่าทัวร์จีนที่ไหนเนี่ย --- แม่กรูเองงงง |
 |
เนิน เนิน เนินทั้งนั้นนน |
ขึ้นยากหน่อยนะ 5555 แม่นี่ท้อเลย นางไม่ไหวละ นี่แอบบแซวนางว่าแต่งตัวเหมือนอาม่าทัวร์จีนเลย ใส่เสื้อกันหนาวสีนี้ วันต่อมานางรีบเปลี่ยนเลยจ่ะ 555
มาสวิตเซอร์แลนด์อย่าซื้อน้ำเปล่ากินนะ แพงชิบหายยยยยยยยยยยยยยย แพงจนอยากจะเป็นลม น้ำก็อกเค้ากินได้เว้ย!!! ตามถนนหนทางก็จะมีน้ำพุไว้ให้เติมตลอด อย่างรูปข้างล่างนี้ก็อยู่หลังโบสถ์ ยกเว้นที่กินไม่ได้จะติดป้ายไว้ ซึ่งไม่เคยเจอ
 |
นี่แค่ก็อกน้ำดื่มยังสวยเลยอะ!!!!! |
สำหรับประวัติศาสตร์ซูริค เอ้ยยยย นำเที่ยวสวิตฯในตอนนี้ก็ขอพอไว้เท่านี้ก่อนเนาะ กูเหนื่อยละเนี่ย 555
ตอนต่อไป เราจะพาออกนอกเมืองไปสัมผัสแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ ป้อมปราการ และน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกัน
ปล. ถ้าประวัติศาสตร์ผิดยังไงก็บอกด้วยนะ นี่มานั่งศึกษาเอาเอง เพราะอยากรู้ เลยอ่านจากหลายที่ มาปะติดปะต่อกันเอา ไม่รู้เป๊ะทั้งหมดมั้ย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น