วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พาแม่เที่ยว สวิต/อิตาลี ตอนที่ 2 - เรียนประวัติศาสตร์ผ่าน 3 โบสถ์สำคัญของซูริค - ซูริค part 2/2

หลังจากได้ทำความรู้จักกับซูริคไปคร่าวๆแล้ว ก็ไปเดินเที่ยวกันต่อเลย

เรามุ่งหน้าหา landmark ด้วยการเดินลัดเลาะริมแม่น้ำ limmat (แม่น้ำที่ไหลลงไปทะเลสาบซูริค) แม่น้ำเค้าสะอากมากชริงงงงๆ และมักจะเห็นเจ้านกเป็ดน้ำอยู่ทุกที่ที่มีน้ำ คือนกเป็ดน้ำเป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุดในประเทศนี้เลยสำหรับเรา 555 แค่ยืนดูมันว่ายๆดำๆ ก้เพลิน บอกไม่ถูก แม่ก็ด่าว่า เอ้าาา มาเที่ยวทำไมมึงไม่ดูตึกดูวิว มึงดูแต่เป็ด ...

เดินๆไปก็จะพบว่ามีท่าเรืออยู่ตามริมฝั่ง อะไรๆก็ดูเรียบร้อย สะอาดสะอ้านไปหมด

ชีวิตดี๊ดี ชะนีนั่งอ่านหนังสือตากแดดบนท่าเรือ
ตึกเค้าก็แนวๆนี้ไปหมดอะ สวยสมกับราคา 555

คนแถวนี้ชอบนั่งตากแดด (อย่าผวน)
คือ แดดร้อนมากกกกกกกกก แรงมากกกกก เข้าขั้นแสบอะแก คือ แดดไทยไม่แรงขนาดนี้นะ ที่นี่แรงขนาดที่ว่าอยู่ในร่มจะอากาศหนาว แต่พอออกไปกลางแดดกลายเป็นร้อนไปเลยอะ ถอดเสื้อคลุมเดินไปเลย แสบผิวกันไป

เป้าหมายของเราคือเดินชมเมืองกับดู 3 โบสถ์ อันได้แก่ Fraumunster , Grossmunster และ St.Peter ซึ่งทั้งหมดอยู่ในละแวกเดียวกัน
ซึ่งจริงๆโบสถ์หลักๆของซูริคมี 4 แห่ง ใกล้ๆกันหมดเลย แต่อีกอันแค่เดินผ่าน ไม่ได้เข้าไป ชื่อโบสถ์ Prediger

คือซูริคเนี่ย ที่มีบันทึกไว้ก็จะเห็นชัดเจนว่าเริ่มเป็นเมืองตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน (ถ้าปีนโบสถ์ Grossmunster ขึ้นไปดู จะเดินผ่านภาพวาดที่แสดงให้เห็นเมื่อตอนที่แถวนี้มีคนมาตั้งรกรากใหม่ๆ ลักษณะเหมือนโคกเหมือนป่าแถวบ้านกูอะ 555  มีแม่น้ำไหลผ่าน มีบ้านหลังสองหลัง) แต่น่าจะมีคนอยู่แถวนี้กันมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาลแล้ว เพราะมีเจอหลักฐานยุคหินใหม่และยุคสัมฤทธิ์บริเวณใกล้ทะเลสาบ

เราไทม์แล็บข้ามมาตอนที่จักรวรรดิโรมันล่มสลายประมาณปี ค.ศ. 400 กว่าๆ กันเลยดีกว่าค่ะคุณผู้ชม ตอนนั้นกษัตริย์คอนสแตนตินปกครอง แล้วก็มีการประกาศให้นับถือศาสนาคริสต์ คริสตจักรก็เป็นใหญ่เลยจ้าาา  มีอำนาจในทุกด้าน ทั้งการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ทุกอย่างอะหอย!! นั่นแหละจ้าาา ยินดีต้อนรับสู่ยุคมืดจ้าาาาา (หรือยุคกลางนั่นเอง) ก็เป็นยุคที่ผู้คนทั่วยุโรปถูกปิดกั้นทางความคิดมากๆเลย เกิดระบบฟิวดัล แมเนอร์ ก็แถวๆนี้แหละมึง 

ดังนั้น โบสถ์แรกที่เราจะไปดูนี่ เป็นเหมือน headquarter เพื่อรักษาอำนาจของคริสตจักรและชนชั้นสูงใน Zurich  และศิลปะก็จะเป็นแบบโกธิกซึ่งเป็นจุดเด่นของศิลปะยุคกลาง นั่นคือโบสถ์ Fraumunster นั่นเอง เงง เงงงง เงงงง

เจอแล้ววววว

ยอดโบสถ์เป็นสีเขียวๆนั่นแหละ Fraumunster นี่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 853 นะแกรรรรรรร เป็นพันปีเลยหรอวะ หรือกูเข้าใจอะไรผิด ??? เทียบแล้วมันคือ พ.ศ .1396 !!!!!!!!!!

แกรรรรรร !!!!! ปี พ.ศ. 1396 นี่คือประเทศไทยเพิ่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อะแกรรรร คือเพิ่งมีการบันทึกอะไรต่างๆเป็นลายลักษณ์อักษร ศิลาจารึกอะแกรรร ยังเป็นอาณาจักรโบราณ (ทวารวดี โคตรบูร ตามพรลิงค์ ขอม อะไรแถวนั้นอะ ก่อนยุคสุโขทัย) สร้างก่อนนครวัดสามร้อยปีเลยนะเว้ยยย นานชิบหาย พุทธศาสนาก็เพิ่งเข้ามาในไทย  ตอนนั้นกูก็วิ่งพุ่งหอกแทงหมูป่าอยู่แถวๆเขมรนู่นน่ะ 5555

ภาพมหาวิหาร Fraumunster ตอนกลางคืน จาก www.molon.de
ปี ค.ศ. 800 พระเจ้าชาร์เลอมาญแห่งอาณาจักรแฟรงค์ (ฝรั่งเศส) ได้รวบรวมดินแดนในยุโรปเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ซึ่งคนที่สร้างโบสถ์ fraumunster ก็คือหลานปู่ของพระเจ้าชาร์เลอมาญ คือ Emperor Ludwig (Louis the German) สั่งให้สร้างโบสถ์ Fraumunster เมื่อปีค.ศ. 853 เพื่อยกให้ลูกสาวซึ่งเป็นแม่ชีคนแรกและก่อตั้งคณะชีของหญิงสูงศักดิ์ขึ้นมา แล้วก็มีสิทธิ์ควบคุมระบบกษาปณ์รวมทั้งใช้เป็นที่สวามิภักดิ์ของผู้อพยพและนิกายอื่นๆ ตั้งแต่นั้นมาอีกหลายร้อยปีโบสถ์นี้ก็มีหญิงสูงศักดิ์ชาวเยอรมันที่อุทิศตนให้ศาสนาหลายๆคนมาสืบทอด มันถึงถูกเรียกว่า church of our lady ไงล่ะแกกกก

หลังจากนั้นก็เกิดปฏิวัติสวิตเซอร์แลนด์ ระบบนี้ก็เลยยุบไป โบสถ์คาทอลิกนี้ก็กลายเป็นนิกายโปรเเตสเเตนท์แทน (อ่านเพิ่มได้ที่www.sacred-destinations.com/switzerland/zurich-fraumunster) 

ที่เด่นๆของโบสถ์นี้ก็จะเป็น กระจกสีๆ ข้างใน สวยดีจ้าาา

เลดี้ทั้งนั้น เลดี้ล้วนๆ
ตอนแรกก็งง ทำไมมีแต่รูปผู้หญิงวะ
รูปปั้นนี้คือ Hans Waldmann ผู้ปกครองคนแรกๆของซูริคเลยนะแกรรร มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1435-1489 คุณพระอกอีแป้นจะแตก นานมวากกกก รูปปั้นแกอยู่หน้าโบสถ์ Fraumunster นั่นแหละ
อะ รูปนี้ถ่ายจากฝั่งโบสถ์ Fraumunster ไปเห็นโบสถ์ Grossmunster 
สะพานนี้คือสะพาน munster (Münsterbrücke - munster ก็คือ minster ในภาษาอังกฤษอะ) ซึ่งเดินข้ามไปก็จะเป็น Grossmunsterเลย 

แต่เนื่องจาก St.Peter กับ Fraumunster อยู่ฝั่งเดียวกัน เราเลยจะเดินไป St. Peter กันก่อน
แม่ระหว่างทางไปโบสถ์ St.Peter
สิ่งที่ดีงามของเมืองเก่าซูริคนี่คือ ความซอกแซกของร้านค้า ของบ้านคน มันน่าสนใจมาก เหมือนเค้าอยู่กันแบบนี้มานานแล้ว พื้นก็ปูด้วยอิฐ เดินง่าย สะอาดเอี่ยม มีร้านน่าสนใจตามซอกตามหลืบ

แกดูความน่ารักของสีตึกข้างมหาวิหารนะ เป็นร้านอาหาร ร้านไอติม ร้านอะไรเล็กๆน้อยๆ น่ารักมาก

ร้านชมพูทั้งร้าน !!
ถ่ายจากหน้าทางเข้า Fraumunster ซึ่งมองไปเห็น St.Peter เลย
ทางไป St.Peter ก็คือหลืบตรงกลางนั่นแหละ จะเห็นยอดโบสถ์อยู่ไกลๆ ทางเดินก็จะเป็นหมู่บ้านซอกซอยตึกที่ต้องขึ้นเนิน

และเห็นไซต์ก่อสร้างนั่นมั้ย แม่ชั้นตาไวมาก เห็นคนงานก่อสร้างกำลังทำงานอยู่ .... นางหล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ..... ชั้นถึงกะเหลียวหลังไปมองใหม่ อายุไม่น่าเกิน 17-18 อะ คือดี น้องงง รู้จักทำงานแล้ว ชั้นก็ปลื้ม แม่ชั้นยิ่งปลื้ม นางชมใหญ่เลย เด็กยุโรปทำงานเป็น โตไว เก่ง เพราะมีความรับผิดชอบ หาเงินเองแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ... คือน้องมันก็มองๆยิ้มๆอะนะ เพราะอีสองแม่ลูกคือ มองอย่างจริงจังมากและยิ้มให้อย่างหวังผล 555 .... แต่ไม่ได้ขอถ่่ายรูป เกรงใจน้องทำงานอยู่

เดินไปตามทางแปปปปเดียวก็ถึงแล้วนาจาาาาาาา

โบสถ์ St. Peter

โบสถ์ St. Peter
นาฬิกาที่เห็นนี้เป็นหน้าปัดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปนาาจาาาา ข้างในก็มีศิลปะบนฝาผนังเก่าแก่ โบสถ์นี้สร้างทับวิหาร Jupiter ของโรมัน ( ก็เลยชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่เก่่าที่สุดในซูริค สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นล่ะมั้ง 555)
ที่น่าสนใจคือยอดแหลมๆข้างบนนั้นเคยเป็นที่พักของ watchman ซึ่งมีหน้าที่ออกมาส่องทุก 15 นาทีเพื่อป้องกันไฟไหม้ !! มึง... ทุก 15 นาทีค่ะ ห้าๆๆๆ คือถ้ามีไฟไหม้นางจะตีระฆังแล้วก็ห้อยธงหันหน้าไปทางที่ที่มีไฟไหม้ ... ผลคือ ... ซูริคเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของยุโรปที่ไม่เคยเกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่เลยจ้าาาา เลิศศศศ
แต่กุไม่ได้เข้าไปดู เพราะอะไรจำไม่ได้ 555

ดอกไม้มีทุกที่เลย นี่คือตึกหน้าโบสถ์ กับต้นไม้สีดำ ได้บรรยากาศ มีความยุโรปมากกกก

รอบๆโบสถ์ก็มีบ้าน ชอบบ้านแถวนี้นะ มีสวนเล็กสวนน้อยให้เห็นอยู่ตลอด
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินไปที่ Grossmunster กันเลยยยย (ไปอีกทางนึง ไม่รู้ทางไหนเหมือนกัน 555)


เดินกลับใหม่ ง่ายกว่าเดิมเพราะลงเนิน 555
ป้ายหน้าโบสถ์
เย้ ถึงแว้ววววว
คือมหาวิหารนี้ (ต่อไปขอใช้คำว่าโบสถ์เฉยๆ) ตั้งอยู่บนเนินสูงๆ รอบๆโบสถ์จะมีเหมือนเป็นชั้นลอยให้คนไปนั่งเล่น ข้างล่างก็จะเป็นร้านค้า ร้านของฝาก น่ารักๆ ตัวโบสถ์เป็นแบบโรมาเนสก์ื ไม่ใช่โกธิค
เราชอบการจัดระเบียบแบบนี้ ไม่เหมือนประเทศเราเลย สถานที่สำคัญหลายๆที่ ร้านค้าแม่งแทบจะอยู่ตรงกลาง อีดอกกก อะไรของเมิงงงงงงงงงง สกปรกอีกต่างหาก บ้าบอที่สุด



คือโบสถ์นี้เป็นตัวจี๊ดเลย (Grossmunster = Great Minster) โบสถ์นี้สร้างขึ้นทับโบสถ์เก่าของราชวงศ์แห่งกษัตริย์ชาร์เลอมาญ ตอนที่สร้างโบสถ์เก่านั้น กษัตริย์ชาร์เลอมาญเสด็จผ่านบริเวณนี้ ม้าที่พระองค์ทรงอยู่ก็หยุดตรงที่มีหลุมศพของมรณสักขี 3 คน 
มรณสักขี (martyr) หมายถึงคริสต์ศาสนิกชนที่ถูกทรมานจนตายหรือถูกฆ่าหรือถูกลงโทษให้ทรมานและประหารชีวิตเพราะความเชื่อ เช่นถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย ถูกตรึงกางเขน ถูกเผาทั้งเป็น และอื่น ๆ - ข้อมูลจากวิกิ
ทั้ง 3 คนถูกประหารในปี ค.ศ. 286  ตำนานกล่าวว่าทุกคนถูกทรมาน จับไปต้มในน้ำมัน กรอกตะกั่วร้อนๆ ก็ยังไม่ตาย สุดท้ายโดนตัดหัว สามคนนี้ก็ยังถือหัวตัวเดินขึ้นเนินไปขุดหลุมฝังศพตัวเองจ้าาา สตรองมากกก อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.sacred-destinations.com/switzerland/zurich-grossmunster
ซึ่ง 3 คนนี้ก็ได้เคยปรากฏบนเหรียญของซูริคและยังคงเป็นตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของตราประทับของซูริคจนกระทั่งปัจจุบันจ้าา
3 martyrs
รูปจาก wikipedia

อะ กลับมาที่โบสถ์ ห้าๆๆ โบสถ์นี่สร้างประมาณปี 1100 เสร็จปี 1220 ( ใช้เวลาร้อยกว่าปี!) ช่วงปี 1100 ก็ตรงกับที่ประเทศไทยเราเองก็ยังเป็นชนเผ่าต่างๆอยู่เลย 

เรียกได้ว่าโบสถ์ Grossmunster นั้นเป็นอริกับ Fraumunster มาตลอดยุคกลาง มีการแข่งกันว่าใครมาก่อน แต่ถ้านับตั้งแต่ช่วงที่เป็นโบสถ์เก่าของกษัตริย์ชาร์เลอมาญแล้ว Grossmunster เก่ากว่าแน่นวลลลล

นอกจากเรื่องความเก่าและตำนานแล้ว  Grossmunster ยังมีความสำคัญระหว่างการ reform หรือการปฏิวัติของซูริค ซึ่งที่นี่ได้ถูกใช้เป็นที่เผยแพร่แนวคิดในการปฏิวัติของ  Huldrych Zwingli  


รูปคุณ Zwingli จาก wikipedia
Zwungli เริ่มด้วยการเรียกร้องให้บาทหลวงแต่งงานได้ (ซึ่งนางแต่งไปแล้ว 555) ต่อเนื่องจนซูริคก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางการถกเถียงกันด้านศาสนาและเสรีภาพ จนมีสงครามระหว่างคาทอลิกและโปรเเตสแตนท์ซึ่ง Zwingli ก็ถูกฆ่าตายในสงครามนี้ ร่างถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนและเผา 

บริเวณที่ Zwungli ตายจึงมีคำจารึกไว้ว่า "They may kill the body but not the soul" ...  หลังจากนั้นผู้นำการปฏิวัติจึงเปลี่ยนไปที่เจนีวา (John Calvin) และกระจายไปทั่ว มีสงครามและการสูญเสียเกิดขึ้นเยอะแยะยาวนาน .... จนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เป็นสวิตเซอร์แลนด์แดนแห่งความสุขวันนี้ไงแกรรรร

คนที่สนับสนุน Zwungli หลักๆก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นประชาชนและที่สำคัญคือเจ้าหญิง Katharina von Zimmern แม่ชีที่อยู่ที่ Fraumunster ในขณะนั้นเอง อย่างที่บอกไปแล้ว หลังการปฏิวัติ โบสถ์ Fraununster ก็เลยกลายเป็นโบสถ์นิกายโปรเเตสเเตนท์และสำนักแม่ชีที่ถูกควบคุมโดยชนชั้นสูงนั้นก็ถูกยุบไป (ยอมใจนางจริงๆ ปรบมือ) ถ้าเรียนจารย์ปิงมาจะรู้ว่า Protestant ก็มาจาก Protest ที่แปลว่าคัดค้านนั่นแหละจ้าาา

การปฏิวัติในซูริคครั้งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สวิตเซอร์แลนด์เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ของคำว่าพลเมืองและรัฐ :)) (อ่านเรื่องแบบนี้แล้วดีใจไปกับเขานะครับ ส่วนเราก็... รู้กัน) 

เนี่ย จริงๆนะ "They may kill the body but not the soul" :))


แม่หน้าโบสถ์
ประตูโบสถ์มีรายละเอียดเป็นรูปต่างๆสวยงามมาก จำไม่ได้ว่ารูปอะไร 55 แต่จำได้ว่ายืนดูครบทุกช่อง
แล้วเราก็เสียตัง (จำไม่ได้ว่าเท่าไร ไม่เกิน 5 เหรียญ) ขึ้นไปบนยอดโบสถ์เพื่อดูวิวซูริคเต็มๆ ซึงบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ถ้าไปซูริค โคตรสวย ไปดูด้วยตาเหอะ มีปัญญาถ่ายมาแค่นี้แล 555 นี่ยืนดื่มด่ำอยู่นานมาก 
ขั้นเองงงง ให้ผู้แถวนั้นถ่ายให้ หนุ่มอิตาลี 55 ไวตลอด
นางยิ้มให้ชั้นด้วยตอนเราลงมาเจอกันข้างล่าง นางชอบชั้นเเน่ๆ 
#เค้าถ่ายรูปให้มึงเค้าก็ต้องยิ้มให้มึงสิไอ้ฟายยยย 
นั่นโบสถ์ St. Peter
เห็นทั้งซูริคเลย ของจริงสวยนะเว้ยยย 
แม่น้ำ limmat ต่อลงทะเลสาบซูริค


คือหลังจากลงจากโบสถ์มาก็ได้เจอผู้ชายหล่อมากๆอีกแล้ว แต่คนนี้เป็นมนุษย์ผู้ชายที่หล่อที่สุดในชีวิตที่เคยเจอมนุษย์ทั้งมวลมาเลย แม่ชั้นบอกว่า มึงจะมองผู้ชายอะไรนักหนา สักพักนางก็หันไปชม ...ผู้ชายอีกคน ....
แก ... อย่างที่บอก ชั้นช็อคกับเมืองนี้มาก ทำไมมีแต่คนหน้าตาดี แต่งตัวดีขนาดนี้วะ

ชั้นกับแม่ก็เดินเลียบแม่น้ำเล่นกัน ผ่านร้านดอกไม้ ร้านนู้นร้านนี้ น่าสนใจมากที่เมืองถูกออกแบบมาให้มีทางคนเดินกว้างขวาง(มากกกกกก) ไม่มีรถเข็นอะไรมาขวางทางคนเดิน ยกเว้นหน้าร้านอาหารที่มีโต๊ะมาตั้ง แต่ก็ตั้งอย่างน่ารัก มีระเบียบ ไม่กีดขวาง มีร้านที่จะเรียกว่าเป็นกึ่งๆ street food ก็ว่าได้ ขายเครื่องดื่ม ขายอาหาร ขายฟองดู ให้คนได้นั่งตากแดด คุยกัน กินลมชมวิวแม่น้ำ ชีวิตโคตรดีเลย 

เห็นหลายคนแย้งว่า street food ประเทศไทยมีเสน่ห์จะตาย คือ ชั้นคิดว่าเสน่ห์นั้นไม่ควรก้าวล้ำสิทธิ์ของคนเดินถนน อาหารข้างทางทำให้มีระเบียบและสะอาด ไม่รุกล้ำสิทธิ์คนอื่นได้ แต่ต้องการการจัดการ นึกภาพไม่ออกก็รู้จักเก็บตังไปเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวเมืองสะอาดๆบ้าง (นี่ด่านะหนิ)
ป็อปคอร์นถูกกว่าหน้าโรงหนังแถวบ้านกุอีกกกก
ทางเดินใต้ตึก เลียบ limmat
ดอกไม้สวยมากกกก อยากมากับผู้ชายแล้วผู้ชายซื้อให้ 555 เห็นงี้ถูกกว่าที่ไทยนะ (ดอกไม้นะไม่ใช่กู)
สาวเวียดนามก็มาเที่ยวซูริค แต่น้องหลังเป็นสิวขนาดนั้นหนูไม่ควรใส่เสื้อเปิดหลังนะลูกกกก
สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือเห็นคนเเก่เดินใช้ไม้เท้าหรือเก้าอี้รถไฟฟ้าไปไหนมาไหนเองได้สะดวกอยู่บ่อยๆ พวกนางก็ชมวิว เม้ามอยกันไป ดูเป็นมนุษย์ดีอะ ดูมีเวลาคิดถึงเรื่องรอบตัวดี

แต่ที่ไม่ชอบคือคนสูบบุหรี่กันเยอะมาก ทั้งเมือง ไม่รู้เพราะอากาศหนาวหรืออะไร แต่กูไม่หนาวขนาดนั้นนะ 5555 คือสูบทุกที่เลย ไม่มีห้าม สูบตรงไหน ทิ้งตรงนั้นเลยด้วย ไม่มีเศษขยะอื่นเลย มีแต่ก้นบุหรี่  (แต่เช้าวันต่อมาพื้นก็กลับดูสะอาดดีเหมือนเดิม) ซึ่งนี่กลับเข้าโรงแรมถึงกับเจ็บคอมาก (เวลานี่ได้กลิ่นบุหรี่เยอะๆจะเจ็บคอมาก มีเสลดหนักมาก)

แต่ด้วยความที่แต่งตัวดี หน้าตาดี เมืองสวย แล้วยิ่งถ้าสูบอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำนะ อยากเอากล้องมาถ่ายมากเลย นึกว่าถ่ายแบบกันอยู่!!!! เออ เป็นครั้งแรกที่คิดว่าสูบบุหรี่นี่แม่งเท่จริงๆ ยอมรับ 555

เดินเลียบเเม่น้ำเสร็จก็ข้ามฝั่งไปนั่งชิว เดินผ่านร้านอาหารไทยแบบ grab&go ไม่มีคนยืนเฝ้าหน้าร้าน แต่ได้ยินคนคุยกันจากในครัวเป็นภาษาอีสาน นินทาเจ้านายกำลังมันส์เลยไม่กล้าเรียก 555

 เจอที่นั่งก็เลยนั่งชิว คุยนู่นคุยนี่ เม้ามอย พักขากันก่อนที่จะไปต่อ
สภาพไม่ไหวละ
วิวขณะนั่งที่ม้านั่งริมน้ำ ที่มีทั่วไป 
พอพักเสร็จก็เดินเล่นต่อ บังเอิญขึ้นเขามาเจอที่ดูวิวในสวนสาธารณะ ดีงามมากกกกกก จริงๆดูเป็นสนามเด็กเล่นมากกว่า

ของจริงมันสวยกว่านี้เยอะเลยนะ 555
สะพานสวยๆ
ทางเข้าสวน
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาสวนนี้ พอดีแม่ปวดฉี่เลยแวะเข้าห้องน้ำสาธารณะ 555 เเม่ง ดันสวยซะงั้น

หลังสวนนี้ เดินไปใกล้ๆ จะมีเนินเขาที่ขึ้นไปแล้วเห็นวิวเมืองซูริคที่มียอดเขาเต็มไปด้วยน้ำแข็งปกคลุมเป็นฉากหลัง ดีงามมากกกกก พอดีแบตหมดเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ นางชื่อว่า Lindenhof Hill มีประวัติศาสตร์น่าสนใจนะแต่ขี้เกียจอ่าน

ที่ชอบคือ วัยรุ่นมารวมตัวที่นี่เยอะมาก มีซ้อมเต้น มีนั่งเม้ามอยสวีทกัน มาทำกิจกรรมนู่นนี่ ร้องเพลง เป่าเครื่องเป่า วุ่นวายไปหมด 555 คนแก่ก็มานั่งดูเด็กทำกิจกรรม เพลินดีนะ แอบเห็นรูปว่ามีวิ่งมาราธอน มีนู่นนี่นั่นกันด้วย ไม่เอารูปมาแปะนะ ขี้เกียจหา 555

สรุปถ้ามาซูริคแนะนำ 2 ที่ดูวิว คือบน Grossmunster กับที่นี่แหละ Lindenhof Hill

อาม่าทัวร์จีนที่ไหนเนี่ย --- แม่กรูเองงงง

เนิน เนิน เนินทั้งนั้นนน

ขึ้นยากหน่อยนะ 5555 แม่นี่ท้อเลย นางไม่ไหวละ นี่แอบบแซวนางว่าแต่งตัวเหมือนอาม่าทัวร์จีนเลย ใส่เสื้อกันหนาวสีนี้ วันต่อมานางรีบเปลี่ยนเลยจ่ะ 555

มาสวิตเซอร์แลนด์อย่าซื้อน้ำเปล่ากินนะ แพงชิบหายยยยยยยยยยยยยยย แพงจนอยากจะเป็นลม น้ำก็อกเค้ากินได้เว้ย!!! ตามถนนหนทางก็จะมีน้ำพุไว้ให้เติมตลอด อย่างรูปข้างล่างนี้ก็อยู่หลังโบสถ์ ยกเว้นที่กินไม่ได้จะติดป้ายไว้ ซึ่งไม่เคยเจอ

นี่แค่ก็อกน้ำดื่มยังสวยเลยอะ!!!!!
สำหรับประวัติศาสตร์ซูริค เอ้ยยยย นำเที่ยวสวิตฯในตอนนี้ก็ขอพอไว้เท่านี้ก่อนเนาะ กูเหนื่อยละเนี่ย 555

ตอนต่อไป เราจะพาออกนอกเมืองไปสัมผัสแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ ป้อมปราการ และน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกัน

ปล. ถ้าประวัติศาสตร์ผิดยังไงก็บอกด้วยนะ นี่มานั่งศึกษาเอาเอง เพราะอยากรู้ เลยอ่านจากหลายที่ มาปะติดปะต่อกันเอา ไม่รู้เป๊ะทั้งหมดมั้ย



วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พาแม่เที่ยว สวิต/อิตาลี ตอนที่ 1 - ถึงสักทีโว้ยยย-ทำความรู้จักสวิต - ซูริค part 1/2

คืองี้

เราคิดว่าคนไทยรุ่นๆเราเเละแก่กว่าเนี่ย น่าจะได้ยินชื่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์กันบ่อยๆ จากข่าวในพระราชสำนักเพราะเป็นประเทศที่รัชการที่ 8 ในหลวงและพระพี่นางเติบโตขึ้นมานั่นเอง

สวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อมากกก เรื่องความแพง 555 ไม่ใช่โว้ย เรื่องความสวยของบ้านเมืองและภูมิประเทศที่สวยงาม ภูเขา สกี การเกษตร การศึกษา เทคโนโลยี ความเจริญทั้งหลาย

พูดถึงเรื่องความแพง แม้แต่คนยุโรปด้วยกันเองก็ยังพูดว่าแพงมากนะ ใครเคยดูคุณชายปวรรุจจะเห็นว่าถ้าไม่รวยอย่างอีหญิงแต้วนี่ตามไปหาถึงที่ไม่ได้นะจ๊ะ 555 สายเปย์ของจริง

อีนี่ก็ อืม สักครั้งในชีวิตล่ะวะ เป็นประเทศในฝันของแม่ แถมแม่ยังออกตังให้บางส่วนด้วยแหละ ไม่ใช่อะไร 555

เข้าเรื่องกันดีกว่า

เราได้ตั๋วโปรจาก etihad แต่ต้องบินออกจากฮ่องกง - ซูริค และกลับจาก เวนิซ-กทม เลยได้วางแผนเที่ยวยาวๆไปเลยสิบวัน 2 ประเทศ  การเตรียมตัวบ้าๆบอๆ เที่ยวฮ่องกง ได้จากบทความก่อนหน้านี้เลยจ้า พาแม่เที่ยวฮ่องกง/สวิส/อิตาลี ตอนที่ 1- 4

คือ นี่หาข้อมูลน้อยมากจริงๆ น้อยมากกกกกก เป็นทริปแบบ ขอเดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก นอนเพียงพอ กินอาหารอิ่มไม่แร้นแค้นไม่หรูหราเกินไป เรียกว่า ไปดื่มด่ำบรรยากาศประเทศเขามากกว่าจะไปเก็บไอเท็ม

แผนก็คือ  Zurich >> Stein Am Rhine - Schaffhausen / Rhein fall >>  Lucerne / Brienz / interlaken Ost. >> jungfrau >>   Bern /Thun >>  Zermatt >> Lausaane  >> Geneva >> Venice  ดังนั้นก็เลยต้องจองตั๋วเครื่องบินเจนีวา-เวนิซ ของ easy jet ไปด้วย (ถูกมว๊ากกกก ถูกกว่ากทม-เชียงใหม่ อิดอก 555 ไปเช็คราคากันเอาเองถ้าจะไป)

นี่คือแผนที่สวิตฯ
รูปจาก www.sitesatlas.com
จะเห็นว่านางถูกขนาบด้วยประเทศยักษ์ 3 ประเทศและประเทศน้อย 2 ประเทศ และไม่มีทางออกสู่ทะเล

จากรูปจะเห็นว่า นางไม่มีทางออกสู่ทะเลจ้าาาา อันนี้ก็เป็นทริกเล็กๆน้อยๆเวลาแอ๊วผู้สวิสนะ สามารถชวนนางมาเที่ยวทะเลไทยได้ บอกไปเลยว่าเดี๋ยวมันจะเสื่อมโทรมแล้วนะ ปะการังก็จะตายห่าหมดแล้ว อาหารทะเลดีดีก็จะไม่มีกินแล้ว รีบมาเที่ยว
ส่วนผู้ยุโรปที่ใช้มุกนี้จีบได้อีกก็คือออสเตรียอย่างที่เห็นในแผนที่ และอีกหลายประเทศในยุโรป

แผนที่ภาษาที่ใช้ในสวิตฯ จาก wikipedia

สวิตเซอร์แลนด์มีภาษาราชการ 4 ภาษาค่ะอีดอก เยอะไปไหน 555 หลักๆที่ไปเที่ยวแล้วเจอเนี่ยก็จะเป็นเยอรมันกับฝรั่งเศส  มีภาษาอิตาลีและโรมานช์อยู่นิดหน่อย แบ่งง่ายๆก็ฝั่งติดเยอรมันหรือฝั่งเหนือ กลาง และตะวันออกก็จะพูดเยอรมัน ฝั่งติดฝรั่งเศสหรือตะวันตกก็จะพูดฝรั่งเศส ฝั่งที่ติดอิตาลีหรือทางใต้ๆก็จะพูดอิตาลี ง่ายไหมล่ะมึง  ส่วนภาษาโรมานช์ก็มีบ้างทางตะวันออก และยังมีภาษาท้องถิ่นอื่นๆอีกนะ บางที่แม่งพูดกันได้ 3 ภาษาไปอีกกกกก

นี่เคยเรียนแต่ภาษาเยอรมัน ตอนอยู่ฝั่งเยอรมันก็พอเดาได้อะไรเป็นอะไร พอข้ามไปฝั่งฝรั่งเศสปุ๊ป ใบ้แดกเลยจ้าาาา อ่านเหี้ยอะไรก็ไม่ออก T-T (แม้จะเคยเรียนมาเดือนนึงก็ไม่กระดิกเลย)

อะ เริ่มกันที่ซูริคเนาะ
ซูริคตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลสาบซูริค อยู่เหนือๆของสวิตฯ เป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจที่สุดของประเทศแล้วมั้ง  หลายคนเข้าใจว่านางคือเมืองหลวง ไม่ใช่เด้อ เมืองหลวงนางชื่อ Bern นะจ๊ะ ซึ่งทริปนี้เราก็จะไปแวะเบิร์นกันด้วย อิอิอิอิอิ (ใครคิดจังไรยกมือ)

พูดถึงความสับสนเรื่องเมืองหลวงเนี่ย มีครั้งนึง นั่งรถไฟไทยขึ้นเหนือไปกับเพื่อนๆชาวแก๊งค่ายอาสา เพื่อนคนนึง มันชื่อโอ๊ต ซึ่งอีโอ๊ตเนี่ย ตอนนี้ทำงานแบงค์ชาตินะจ๊ะ  คือมันเรียนเก่งมาก เศรษฐศาสตร์เนี่ยรู้เรื่องหมด แต่ความรู้รอบตัวแม่ง เรียกว่าศูนย์ค่ะอีดอก แล้วมันจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ หน้าโหดๆ มีปานที่เหมือนรอยแผลเป็นอยู่บนหน้า .... แต่!!! มุ้งมิ้งมากกก และโดนแกล้งเป็นประจำ จนได้ฉายา โอ๊ต คนที่โง่ที่สุดในคณะ (แต่เสือกจบเกียรตินิยมนะมึง 555)

คราวนั้นมีอีตัวแสบของคณะไปด้วย ... ชื่ออีนนท์ อีนนท์เนี่ยเป็นผู้ชายปากหมามากกกก ด่าสาดด่ากระจายด่าเสียๆหายๆ 55555 จังไรมากอีดอก เถียงมันไม่เคยทัน แล้วอยู่บนรถไฟก็เล่นเกมส์กันไปเรื่อย โดยมีอีโอ๊ตเป็นเหยื่อให้เพื่อนๆแกล้งเช่นเคย อีนนท์ก็ถามความรู้รอบตัวอีโอ๊ตไปเรื่อย ถามว่าหาดใหญ่อยู่จังหวัดอะไร  โคราชชื่อเต็มว่าอะไร โคราชอยู่ภาคไหน มันตอบไม่ได้ซักคำถาม จนมาถึงคำถามนี้

นนท์ : ไอ้โอ๊ต เมืองหลวงของอเมริกา ชื่อว่าอะไร
โอ๊ต : ....
นนท์ : ไอ่ควายยยย ตอบไม่ได้อีกละะ
เพื่อนๆ : (หัวเราะท้องแข็ง)
โอ๊ต : ไม่รู้ว่ะ อะไรวะ
นนท์ : (ด้วยเสียงอันดังและท่าทางมั่นใจมากกก) เมืองหลวงของอเมริกา ก็นิวยอร์กไง ไอ้ควายยยยยยย
เพื่อนๆ : ....
โอ๊ต: ...
นนท์ : ....
เพื่อนๆ : ไอ้เหี้ยนนท์ เมืองหลวงอเมริกาคือวอชิงตัน ดีซี โว้ยยยยย
เพื่อนๆ+โอ๊ต : ไอ้ควายยยยยยยยยยยย (หัวเราะท้องแข็งกว่าเดิม)

จะแกล้งใครอย่าลืมเช็คข้อมูลดีๆนะ 555555555

อะ พอละ จบการเกริ่นแต่เพียงเท่านี้ ไปเที่ยวกันดีกว่า 5555
ลงเครื่องมาปุ๊ปก็สัมผัสได้ถึงความสงบสุขของประเทศเลยเหอะเอาจริง ได้รับการต้อนรับจากหนุ่มๆตระกูล hemsworth ชื่นใจมากค่ะ คนนึงขายน้ำหอมคนนึงขายนาฬิกา

พี่คริส
พี่เลียม
สองคืนแรกเราพักที่โรงแรม ibis budget Zurich Airport ใกล้แอร์พอร์ตมากกก ทริปนี้มีงบจำกัดมาก เลยนอนโรงแรมได้คืนละไม่เกิน 3,000 บาทดังนั้นก็จะได้โรงแรมประเภท budget คุณภาพกลางๆธรรมดาๆ เพราะอย่างที่บอก ที่นี่แพงทุกอย่างจริงๆ
 จากแอร์พอร์ต มาโรงแรมก็นั่งรถไฟมาค่ะ สะดวกและแปปเดียว ถูกด้วยเพราะมันแค่ 2 สถานี นี่ก็ลืมไปว่าตัวเองมี swiss pass ก็ลืม ดันซื้อตั๋วรถไฟซ้ำไปหลายรอบเลยซะงั้น จะด่าว่าควายก็สงสารควาย ไม่หาข้อมูลมาก็จะเสร่อแบบนี้เเล 555

บอกก่อนเลยว่า swiss pass มีไว้เถิด รถไฟที่นี่ แพงมวากกกก เราซื้อที่สนามบินซูริคแบบ 7 วันไป ก็ใช้ได้เลย ขึ้นได้แทบจะทุกอย่างอะเธอ เรือ รถ แทรม รถไฟ (บางอันแปลกๆไม่แน่ใจว่าขึ้นได้มั้ยก็ถามเจ้าหน้าที่ได้เลย) อายุไม่เกิน 25 อย่างชั้นก็ได้ส่วนลดเหลือแปดพันกว่า ส่วนแก่กว่านั้นก็จ่ายหมื่นนิดๆไปแล้วกันนะจ๊ะ 555 (ล้อเล่น ปีหน้ากุก็เกินละ)
ที่นี่ใช้เงินสวิสฟรังก์นะ (CHF) แลก Euro มาใช้ก็ได้ เค้านับเป็น 1:1 แล้วตอนไปแลกเงิน ถ้าที่ไหนไม่มีแบงค์ย่อยให้ ด่าเลยจ้ะ 555  เพราะว่าที่นี่ไม่มีทางรับแบงค์พัน chf แน่นอน ...  อีบ้า! คิดดู มึงซื้อของห้าร้อยบาท เค้าจะรับมั้ยแบงค์หมื่นบาทมั้ย คือนี่พลาด โดนที่แลกเงินที่ไทยให้แบงค์พัน chf มาหลายใบเลย เซ็งมาก ต้องไปหาที่แลก นี่ไปแลกที่ธนาคาร credit Suisse มา (พนักงานหล่อชิบหาย ต้องขอบคุณที่แลกเงินที่ไทยสำหรับโอกาสดีๆ)


สถานีรถไฟ นั่งชิวๆ  ตึกสีแดงๆข้างหลังนั่นคือโรงแรม เดินใกล้มาก ประมาณ 20 ก้าว 555
นี่แม่กูนะไม่ใช่กู แม้จะหน้าเหมือนมากก็ตาม 
ขึ้นรถไฟที่ซูริคตอนแรกงงมาก ที่นี่เค้าไม่ค่อยมีตรวจตั๋วว่ะแก (เรียกว่าไม่ตรวจเลยก็ว่าได้ ไม่มีที่ติ๊ก ไม่มีอะไรทั้งนั้นนนนน) แต่ทุกคนก็ซื้อตั๋ว ... คือดีงามมม ประทับใจมากกกกก .... แล้วรถสาธารณะเค้านะ คนพิการก็เดินทางได้เองสะดวกเลย  ระบบเปิดปิดรถไฟคือ บางทีประตูจะไม่ได้เปิดอัตโนมัตินะ มันจะมีหลายประตูใช่ปะ จะลงประตูไหนก็กดเปิดประตูนั้น ... ชั้นชอบนะ ชั้นประทับใจอะไรแบบนี้

บ้านเมืองสะอ๊าดดดดดดดดดดด สะอาดดดด

อากาศดี๊ดี นี่ไปช่วงต้นเมษา ไม่มีหิมะละ แต่หนาวอยู่ หนาวแบบ 13-14 กะลังดี ชั้นชอบมาก ได้แต่งตัวง่ายด้วย(เสื้อยืดข้างในธรรมดาๆแล้วใส่โค้ททับ ง่าย 555)  ไม่ต้องลุยหิมะด้วย
เก็บของในโรงแรมเสร็จก็ได้เวลาออกไปเดินเที่ยวซูริคกันละ ก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สนามบินเพื่อนั่งรถอีกสายเข้าเมือง มันจะเร็วกว่าขึ้นหน้าโรงแรม กะหาไรกินที่สนามบินด้วย
อ่อ ไปสวิตโหลดแอปดูเวลารถไฟไว้เลยจ้าาา SBB mobile โคตรดีงาม บอกเวลา แพลทฟอร์ม ต่อรถต่อเรืออะไรยังไงบอกหมด  ซื้อตั๋วผ่านแอปได้เลยอีกต่างหาก
นี่ไม่ได้เปิดเน็ทนะ ใช้ได้ตอนมี wifi ฟรีเท่านั้น ห้าๆๆๆ ไอโฟนเอาไว้ถ่ายรูปอย่างเดียว นอกนั้นพึ่งแผนที่จาก information ล้วนๆ ซึ่งสถานีรถไฟแทบทุกที่มี information มึงก็เดินตามตัว i ไปนะ อะไรๆก็เป็นระบบ ป้ายก็สะดวก ทำอะไรก็ง่ายไปหมด หรือใครจะโหลดในมือถือเก็บไว้ก็เสิร์ชกูเกิ้ลได้เลย มีเยอะแยะ


มื้อแรกก็ไปสะดุดฟู้ดคอร์ทที่มีพ่อค้าหล่อ อ้าว ที่เล็งอยู่ดันเป็นร้านอาหารไทยซะงั้น 55
ที่นี่จ่ายเงินจากบัตรได้เลยนะ ร้านเล็กร้านน้อยรูดได้หมด ตู้กดตั๋วหรือกดอะไรก็รูดได้หมด ดีมากๆ ไม่ต้องพกเงินสด ว่าแล้วก็ไปสั่งแกงอะไรจำไม่ได้ละ แกงกะทินี่ล่ะ  แค่เดินไปหน้าร้าน เจ้าของร้านผู้หญิงก็เดินออกมาถาม "ทานอะไรจ๊ะ" ห้าๆๆๆๆ แสดงว่าหน้าบอกยี่ห้อมากว่าไทยแน่ๆ (อดเลย กะจะสั่งกะผู้ชายซะหน่อย)
ละประเทศนี้คนไทยเยอะนะ เวลาไปเจอร้านอาหารที่คนไทยเป็นเจ้าของก็ไม่ต้องไปต่อราคาเค้าเพียงเพราะว่าเค้าเกิดประเทศเดียวกะมึงนะคะ ของซื้อของขาย ห่านนน 5555

ข้าวราดแกงจานนี้เกือบหกร้อยกว่าบาทเน้อ แต่กินได้ 2 คนเลยนะ ให้เยอะมากกกกกกก  ส่วนเราก็สั่งแมคไปตามระเบียบ (สามสี่ร้อยบาท จำราคาไม่ค่อยได้ละ) เลยกินไม่หมดทั้งแมคทั้งข้าว

อะกินเสร็จก็นั่งรถไฟเข้าเมืองไปโผล่สถานี Zürich Hauptbahnhof ซึ่งเราเรียกสั้นๆว่า Zürich HB นาจาาาา ระหว่างทางก็แอบมีกราฟฟิตี้ให้ดู



โผล่ขึ้นมาบนดินก็จะเห็นเจ้ guardian angel ผู้โด่งดัง นางเป็นผลงานของศิลปินเชื้อสายสวิส-ฝรั่งเศส Niki De Saint Phalle ให้เป็นของขวัญมาเเขวนไว้วันครบรอบ 150 ปีของสถานี ผลงานนางก็จะแนวนี้แหละ สีๆ น่ารักๆ ใครสนใจศิลปะก็ไปค้นดูได้ 


guardian angel
ออกมาหน้าสถานีเหมือนอยู่คนละโลก เห้ยยย นี่จะพาไปดูตัวอย่างชุมชนเมืองของประเทศปั๊ดตะนาแย้ววววว ผ่านการเดินถนน Bahnhofstrasse ซึ่งถือว่าเป็นถนนหลักในย่านดาวน์ทาวน์ของซูริคกันจ้าาา!!!!!


ตึกที่มีธงนั่นคือสถานี zurich HB  หน้าสถานีก็จะดูผู้คนขวักไขว่เล็กน้อยเพราะเป็นชุมทางการขนส่ง แต่รถยนต์บนถนนน้อยมาก เคยถามเพื่อนชาวสวิสนางบอกว่าคนก็ใช้รถส่วนตัวเมื่อจำเป็นต้องใช้เพราะการเดินทางสาธารณะสะดวกกว่า การใช้รถเพื่ออวดรวยจะมีความเสร่อมาก(อันนี้แทบทุกประเทศที่พัฒนาแล้วจะเป็น) แต่บ้านเราถ้าไม่มีรถคุณภาพชีวิตจะลำบากมากเลยว่ามั้ย

เห็นลุงตัวเขียวๆที่ยืนอยู่นั่นมั้ย นั่นคืออนุสาวรีย์ของ Richard Kissling ศิลปินชาวสวิส และ Afred Escher นักการเมืองและผู้บุกเบิกการรถไฟในสวิตเซอร์แลนด์ (เหมือนจะเป็นคนก่อตั้งอะไรหลายๆอย่างมากเลย ลองหาดูเด้อ นี่อ่านแล้วมันยาวไปขี้เกียจเขียน 55 )




คือที่นี่ไม่มี(หรือมีแล้วกูไม่เห็น) ห้าง ที่เป็น ห้างอะ ที่เป็นตึกๆแล้วมีร้านๆเยอะๆอะ ไม่มี จะมีเป็นร้านๆ เรียงรายตามแนวถนนเหมือนเป็นร้านขายของธรรมดาแต่จริงๆแม่งขายของหรูมาก หลายร้านมียามตัวเบ้อเริ่มยืนเฝ้า แต่พื้นที่ foot path กว้างมากกกกกกกกกกกกก สะอาด มีต้นไม้ร่มรื่น มีที่นั่ง โคตรดี

ถนนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในถนนที่ขายของหรูหราที่สุดในโลก อสังหาที่ถนนนี้ราคาแพงที่สุดในยุโรปและเป็นอันดับสามของโลก มีแทรมผ่าตรงกลาง ไม่แออัด และ... ตั้งแต่กุลงจากสนามบินมาจนป่านนี้ ยังไม่เห็นใครที่แต่งตัวธรรมดาเลย ทุกคนแต่งตัวดีหมดเลยยยยยย สะอาด ผมเผ้าดี ผิวพรรณ เสื้อผ้า ดีมากกกกก บียอนด์มาก และมักจะมีสวนดอกไม้ให้นั่งชิวส่องการแต่งตัวของชาวบ้านแถวนี้ค่ะคุณ


กลางเมืองก็จะมีสวนแบบเนี้ย ให้นั่งพัก
เอาจริง คือชอบมาก มันเป็นถนนที่ขายของหรูหรานะแก แต่มันให้ความรู้สึกว่า ที่นี่คือที่สำหรับคนอยู่ด้วยอะ คนก็ใช้ชีวิตกัน เดินคุยงาน นั่งเล่น มีสวนให้แวะ เดินฟังเพลง วิ่งออกกำลังกาย แก... ปะเต้ดปั๊ดตะนาแล้วอะ ... มันคือแบบนี้ใช่มั้ย มันคือประเทศที่ผู้คนมีพื้นที่ที่เอื้อสำหรับใช้ชีวิตจริงๆ... ใช่มั้ยแก

ไม่รู้ว่ะ ชั้นจะหาต่อไปว่ามันมีอะไรบ้างที่ประเทศเขามีแต่เราไม่มีจนต้องอิจฉา


ส่องผู้ชายเพลินๆ

พูดไม่ทันขาดคำ เดินมาเจอสวนสาธารณะอีกละ มีสวนสนุกย่อมๆให้เด็กๆด้วย คนก็นั่งกินลมชมวิว ชมนกชมไม้กันไป ชิวมาก นั่งอยู่ตรงนี้กันเกือบยี่สิบนาที ส่องผู้ชาย เอ้ย กินบรรยากาศกันให้อิ่มเลย
เดินมาอีกหน่อย ข้ามถนนไป ก็จะเป็นทะเลสาบซูริค เป็นพื้นที่ริมน้ำ ให้คนได้มาทำกิจกรรมนู่นนี่กัน ดีงามตามท้องเรื่อง



ทางจักรยาน มีอยู่ทุกที่ สะดวกมวากกกกกกกกกก ในใจกลางเมืองอาจจะมีรถเยอะหน่อย (นี่เยอะแล้วหรอ 555) ก็จะต้องมีสัญญานไปแดง ให้คนข้ามได้หรือไม่ได้ แต่ถ้าออกไปนอกๆเมือง เห็นทางม้าลายก็ข้ามได้เลยจ้า รถจะหยุดให้ เป็นแบบนี้ทุกประเทศที่เคยไปมา ยกเว้นประเทศไทย ไม่เข้าใจ ยากตรงไหน



เดี๋ยวตอนต่อไปจะมาด่าประเทศไทยให้ฟังต่อและจะพาไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญกันนะค้าาาาา 55555 คงเป็นธรรมดาแหละเนาะ มาวันแรกๆก็ต้องมีการเปรียบเทียบกับที่ที่เราจากมามากหน่อย เรียกว่ากำลังตื่นตาตื่นใจ

ปล. ถ่ายรูปไม่สวยนะ ไม่ค่อยชอบถ่าย จะถ่ายอันที่กลัวจะลืมเท่านั้น 555 ถ่ายมายังไงก็ไม่มีทางเหมือนของจริง อยากให้ทุกคนไปเยี่ยมเยือนกันเองงงงง
ปล. 2 ไม่ค่อยได้รีวิวอะไร เพราะเดินเที่ยวกันไปเรื่อยๆ ดูผู้คนดูบ้านเมืองไปเรื่อยๆ พาเดินเล่นว่างั้นเถอะ