วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ความรักของฉัน จับมันโยนทะเล - part 1 หมดความหวังนั่งน้ำตาริน


สวัสดีทุกคนค่าาาา

ทริปที่จะเขียนแชร์ประสบการณ์นี้เป็นทริปที่ไปเที่ยวพังงาเมื่อช่วงเดือนกรกฎา 2017 ที่ผ่านมาค่ะ เนื่องจากตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตลดราคา ก็เลยจองไว้ก่อน ไม่มีเหตุผลอื่นใด 555

แต่เหมือนฟ้าบันดาล อยากให้เรามีสตอรี่ในการเที่ยวขึ้นมาเสยยยย

เราไม่ได้ชอบใครมากๆมานานแล้ว ในชีวิตเราชอบคนเยอะมวากก แฮ่นสุดดด 555 แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีใครเลยที่เรารู้สึกชอบจริงๆ จนกระทั่งมาเจอพี่คนนึง (แน่นอนเราเป็น สาย ฝ. 555) ที่เราชอบแแบบหัวปักหัวปำ ชอบบบบ แบบ ที่สุดของแจ้แล้วจริงๆ เจอกันเพราะต้องทำงานด้วยกัน เค้าทั้งเก่ง ทั้งใจดี รักโลก

พี่คนนั้นเค้าก็ดูสนใจในตัวเรานะ เค้าก็เป็นคนชวนเราไปดินเนอร์ก่อน และได้คุยกันมาเรื่อยๆ ชะนีไวไฟอายุ 26 แบบเราก็รีบไง คิดน้อย ตอนนั้นก็รุกสุด มาคิดทีหลังว่าเราทำตัวไม่มีเสน่ห์มากเลย นอกจากจะทำตัวเด็กเอาแต่ใจใส่เค้าที่เป็นผู้ใหญ่มากๆแล้ว ยังไม่ปล่อยให้จักรวาลจัดสรร ปล่อยให้ความรักมันเติบโตเอง ดันรีบขุดมันขึ้นมากินก่อนซะงั้น

สุดท้าย เค้าก็ไป ...

เราพยายามยื้อสุดฤทธิ์เลยนะ ยื้อกันอยู่นาน สุดท้ายเค้าก็ไปมีแฟนที่เหมาะสมกับเค้าจริงๆ มันบังเอิญที่ เราได้รู้ว่าเคามีแฟนจากปากเค้าคืนก่อนบินไปภูเก็ตนั่นแหละ ความหวังจะแก้ตัวทำคะแนนเพิ่มของเราก็จบลงคืนนั้น  บัยยยยยยยย นกกกก เพลงมา  !

https://www.youtube.com/watch?v=_Ahw7kSawyg

ระหว่างแพ็คของ ก็เปิดเพลงอกหักบิ้วอารมณ์ไปด้วยแหละ ตอนนั้นไม่ตลกนะ ตอนนี้ผ่านมาสี่เดือนย้อนคิดถึงแล้วก็ตลกดี 555 คืนนั้นร้องไห้ทั้งคืน อยู่บนเครื่องก็ร้อง ไปลงที่สนามภูเก็ตไม่ร้องเพราะต้องมองหารถ airport bus 555



- ปล่อยตัวไปกับถนน -
เรามักจะชอบเดินทางคนเดียว ไม่มีแผน รู้ว่าต้องไปที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไม่อยากคิด ไม่อยากอ่านข้อมูล ไม่มีอารมณ์ 555 เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ จนเจอรถ airport bus เข้าเมือง

เราเดินทางออกจากสนามบินภูเก็ตด้วย airport bus คันนั้น มาลงวัดพระนางฯตามคำแนะนำของน้องกระเป๋าเพื่อขึ้นรถทัวร์สายภูเก็ต-ตะกั่วป่า แทนที่จะขึ้นรถตู้หรือเหมาแท็กซี่ตรงไปเขาหลักเลย (รถเหล่านั้น 500-1200 บาท ส่วนวิธีของเรารถบัสกับรถทัวร์รวมกัน 150 บาท )

ถึงวัดแล้วน้องบอกให้ข้ามสะพานลอยไปอีกฝั่ง ตอนลงจากรถนี่รู้สึก relax มาก ต่างจังหวัดมีความดีงามลอยในอากาศที่ กทม. ไม่มี

ลงสะพานลอยมาจะเจอลุงวินนั่งอยู่ 3 คน ก็เลยเดินไปนั่งด้วย ถามลุงว่ารอรถตรงนี้ใช่มั้ย ลุงบอกใช่ แล้วลุงก็นั่งช่วยดูรถให้


จังหวะที่มีรถภูเก็ต-พัทลุงผ่านมา ลุงก็ตะโกน มาแล้วๆๆลูก มาแล้ว ... อ้าวไม่ใช้ ดูผิด แล้วนางก็หัวเราะ 555 เราก็หัวเราะ (จังหวะลุงฮามาก ณ ตอนนั้น)

จนรถตะกั่วป่ามา

 (กรุณาอ่านด้วยสำเนียงทองแดง) " อ้าว ขึ้นเรยยยลูกก ขึ้นเรย โบกกกโบกกก เอ้าาาา จอดดดดด เอ้ยยยย เอ้ยยยยย" เสียงลุงวินมอไซค์ 3 คนหน้าวัดพระนางฯ ที่ภูเก็ตตะโกนเชียร์เราให้ขึ้นรถ ภูเก็ต-ตะกั่วป่า เพื่อจะไปลงที่เขาหลัก ราก็โบกจนรถจอดแล้วหันไปไหว้ขอบคุณ

ถ้ามาแบบไม่แบ็คแพ็คก็คงไม่เจอลุงให้ได้ขำๆกันเล็กๆน้อยๆ แบบนี้ 5555



บนรถ คนไม่เต็มเท่าไร นั่งได้สบายๆ เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นสะพานสารสิน สะพานที่เชื่อมเกาะภูเก็ตไปยังจังหวัดพังงา เป็นสะพานที่มีตำนานรักอันโด่งดังของโกดำกับครูกิ๋ว ... ความรักนี่ ทั้งสวยงาม ทั้งเจ็บปวดจริงๆเลย ... คิดแล้วน้ำตาก็ไหลบนรถนั่นแหละ

ช่วงที่เราชอบอีกช่วง คือช่วงที่รถวิ่งผ่านอุทยานแห่งชาติเขาหลัก เราไม่รู้มาก่อนว่าพังงามีอุทยานแห่งชาติ เราไม่ได้แแพลนหรือเตรียมตัวอะไรมาเลย เลยได้แต่เสียดาย คราวหน้าอยากมา explore ป่าพังงาให้มากกว่านี้

นั่งดูวิวข้างทาง ดูบ้านเรือน คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ เพลินๆ และแน่นอน ... คิดถึงเค้าตลอดทาง ... ทำไมมาก็ตั้งไกลแล้ว ก็ยังอยู่คนเดียวจริงๆไม่ได้เลย เพลงมา!

https://www.youtube.com/watch?v=DdxnMgwCC8I

... เธอมีใครมาแทนที่ฉัน...และเขา ... ดีหรอเปล่า...

ตื่นค่ะ !!! นี่เราอยู่ที่ไหนคะ!
เรางงว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของประเทศ 555 พอเปิด google map ดูจุดหมายปลายทางที่จะไป อ้าว ก็ไม่ได้ไกลแฮะ
พอใกล้ถึง ก็เดินไปนั่งกับคนขับและกระเป๋าข้างหน้า (จริงๆถ้าเป็นโรงแรมดังๆบอกเค้าได้เลย ถ้าเคารู้เค้าจะจอดให้ได้เลย)  เพื่อคอยบอกเค้าว่าจะให้หยุดให้เราตรงไหน แล้วก็เคาท์ดาวน์ให้คนขับ
100 เมตรจอดนะพี่
...50 เมตร
...30 เมตร

"พี่ๆๆๆๆ จอดเลยๆๆๆตรงป้ายนั้นเลยๆๆๆๆๆๆ"
"ถ้าจะกลับภูเก็ต ข้ามถนนไปรอฝั่งนู้นนะน้อง"
"เคค่าาา ขอบคุณค่าาาาา"

"อ๋อ นี่เองหรอ ทางเข้า The Oasis Khaolak Resort "




วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ความแตกต่างของ Entrepreneurship, Entrepreneur และ Startup

ความแตกต่างของ Entrepreneurship, Entrepreneur และ Startup

Entreprenuership จากงานวิจัยของ Jeffrey A. Timmons และได้รับการพัฒนาต่อโดย Stephen Spinelli Jr. ได้ให้คำนิยามไว้ว่า
“ Entrepreneurship - a way of thinking, reasoning, and acting that is opportunity obsessed, holistic in approach, and leadership balanced for the purpose of value creation and capture.” นั่นคือ “ความเป็น’’ผู้ประกอบการ คือ วิธีการคิด,ให้เหตุผล และการแสดงออก ที่ ชอบแสวงหาโอกาส,  วิธีการแบบองค์รวม และการรักษาสมดุลของความเป็นผู้นำ เพื่อการสร้างและการเก็บเกี่ยวคุณค่า ดังนั้น Entrepreneurship จึงเป็นคุณสมบัติ นิสัย วิธีคิด หรือ Mindset ที่ใครก็สามารถมีได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง เช่น ผู้ที่ทำงานในระบบราชการหรือเป็นพนักงานบริษัท หากมีความเป็นผู้ประกอบการหรือคุณสมบัติดังกล่าวก็จะสามารถสร้างคุณค่าใหม่ๆให้กับงาน เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ โดดเด่น สร้างความก้าวหน้าให้องค์กรและสังคม
ส่วน คำว่า Entrepreneur จากนิยามของ Schumpeter คือ One who creates new products process,inputs,markets, or organization  นั่นหมายถึง ผู้ประกอบการที่เป็น “คน” ที่สร้างผลิตภัณฑ์ กระบวนการ สิ่งที่ป้อนเข้าไป(input),ตลาด หรือองค์กรใหม่ๆ  ไม่ใช่ “วิธีคิด” เหมือน  Entrepreneurship และยิ่งชัดเจนขึ้นหากอ้างอิงนิยามของ Gartner ที่กล่าวว่า “One who creates a new venture” นั่นคือ ระบุชัดว่าต้องเป็นคนที่เป็นสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่
และสุดท้าย Start up จากคำนิยามของ Eric Ries ผู้เขียนหนังสือ  "The Lean Startup” กล่าวว่า "A startup is a human institution designed to deliver a new product or service under conditions of extreme uncertainty." นั่นคือ Start up เป็น “สถาบัน” ของมนุษย์ทีถูกออกแแบบมาเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆหรือบริการใหม่ๆ ภายใต้เงื่อนไขของความไม่แน่นอนอย่างมาก และยังเสริมด้วยว่า บริษัทหนึ่งๆสามารถเป็น Startup ได้ไม่ได้เกี่ยวกับขนาด ภาคอุตสาหกรรม หรืออายุของบริษัท ซึ่งตรงกับนิยามของ Steve Blank ที่ไม่ได้กล่าวถึงอายุหรือขนาดของบริษัทเช่นกัน แต่กล่าวว่า  "A startup is an organization formed to search for a repeatable and scalable business model."  นั่นคือ startupเป็น “องค์กร” ที่ก่อตั้นขึ้นเพื่อค้นหา business  model ที่ทำซ้ำและ scale หรือเติบโตได้อย่างรวดเร็วในระดับโลก


ดังนั้น Entrepreneurship คือ “วิธีคิด” ที่ใครๆ อาชีพใด ก็มีได้ ส่วน Entrepreneur คือ ”ตัวบุคคล”ที่มีคุณสมบัติหนึ่งๆ ที่ในหลายๆนิยามระบุว่าเป็นบุคคลที่เป็น “ผู้ก่อตั้ง(create) ธุรกิจ” ส่วน start up เป็นการกล่าวถึง”องค์กร” ทางธุรกิจประเภทหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะของวิธีการคิดในการก่อตั้งองค์กร การจัดการองค์กรและการวางแผนเติบโต
ตามนิยามแล้ว entrepreneur อาจจะเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรประเภท Startup หรือไม่ใช่ Startup ก็ได้  โดย Steve Blank ยังเพิ่มเติมอีกว่า ธุรกิจ Lifestyle หรือธุรกิจขนาดเล็ก (small business) เกิดขึ้นโดย “คนธรรมดา” คนที่ทำ Startup เป็นคนบ้าๆบอๆ (Insane) เป็นผู้ก่อตั้งกิจการ (founder) ที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพูดว่า  'I don't just want to be self-employed. I want to take over the universe. I want to change the world.'’ นั่นคือ  ไม่ใช่คนที่แค่ต้องการเป็นนายจ้างตัวเองเท่านั้น แต่ต้องการครองจักรวาล ต้องการเปลี่ยนโลก
จะเห็นได้ว่า  Entrepreneur,คนที่มีีความเป็น Entrepreneurship และ Start up founder อาจจะมีคุณสมบัติร่วมกันหลายประการ แต่บทบาทหน้าที่ในองค์กรหรือสังคม,Motivation นั้นมีความแตกต่างกันไป   

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สงสารคนโกง

นั่งๆคิดอยู่เรื่องปัญหาการโกง/คอร์รัปชัน ถ้าเราลองมองปัญหานี้ผ่าน Social Lean Canvas มองมันเเบบ Entrepreneurial 55555 #กระแดะมาก และคิด base บนสมมติฐานที่ว่า มนุษย์ไม่ได้อยากกระทำความผิดเพื่อให้ตัวเองเสี่ยงกับ trouble ใดๆหรอก (ยกเว้นว่าเกิดมาแล้วจิตผิดปกติอะนะ)
ถ้ามองผู้กระทำความผิดเป็น customer หรือเป็นกลุ่มคนที่เราสนใจจะไปช่วยแก้ไขปัญหาให้เค้า >> early adopter ก็ว่าไปตามแต่ละ segments ของประเด็นย่อยในการคอร์รัปชัน
ปัญหาเค้าคืออะไร
แล้ว existing alternatives ที่เค้าลือก มันคืออะไรบ้าง มัน Serve อะไรเค้ายังไม่ได้ หรือได้ไม่ดี
Value proposition ที่เค้าอยากได้จริงๆคืออะไร มัน Unique และทำได้ดีกว่า existing alternatives ยังไง
แล้ว Solution ที่ออกแบบจาก Value proposition ที่ช่วยแก้ไขปัญหานั้นๆคืออะไร
ถ้าเรา Focus วิธีคิดแบบนี้ วิธีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจะเปลี่ยนไปมาก และคิดว่า มันจะไม่ใช่องค์กรที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องมา involve คิดว่าต้องมี Collaboration ขนาดใหญ่เกิดขึ้น และต้องพลิกอะไรหลายอย่างมาก
เช่น ถ้าเราจะแก้ไขปัญหาเรื่องเด็กโกงข้อสอบ ทั้งๆที่เด็กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นมองว่าการโกงไม่ดี เข้าใจว่าการคอร์รัปชันไม่ดี แเสดงว่า awareness มีแล้ว แต่ติดระบบบางอย่าง
ก็ควรจะไปดูว่าเด็กมันมีปัญหาอะไรทำไมต้องโกง (โกงข้อสอบมันลำบากนะเว้ยยยยยยยยย คนปกติที่ไหนจะไปอยากโกง) เช่น เค้าถูกตีคุณค่าจากคะแนนสอบ หรือระบบการศึกษาที่มีข้อสอบสำหรับคนกลุ่มเดียวที่ถนัดแบบที่ในห้องเรียนสอน เป็นต้น ทำใหเค้าต้องพยายามทำในสิ่งที่ไม่ถนัด ไม่ชอบ แข่งกับคนที่เค้าถนัด เค้าชอบ หรือเปล่า?? เค้าเลยต้องโกงเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อไปได้
ทีนี้การแก้ไขการโกงแบบนี้มันก็ไม่ใช่เเค่ว่าจะไปทำกระดาษคำตอบให้มันซับซ้อนมากขึ้น หรือจะจ้างคนคุมสอบโหดๆมา มันก็ะแก้ไขปัญหาได้แค่ผิวๆ ซึ่งเดี๋ยวก็หาวิธีโกงอื่นได้ เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ที่กระดาษคำตอบ หรือไม่ได้อยู่ที่คนคุมสอบไม่เข้มงวด มันดราม่ากว่านั้นมาก
คนที่จะแก้ไขปัญหาเด็กโกงหลักๆ จึงไม่ใช่โครงการโตไปไม่โกง 5555 แต่เป็นกระทรวงศึกษาหรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องในระบบการศึกษาที่จะทำให้ระบบการศึกษาสมเหตุสมผลมากกว่า
คือกำลังจะบอกว่า โกงก็ผิดนะ แต่เป็นความผิดแบบถูกบังคับให้ทำ ดรามา่าเหี้ยๆ และคนที่คิดว่าตัวเองไม่ผิด อาจจะเป็นสาเหตุเลยก็เป็นได้
เรื่องอื่นๆก็เช่นกัน ติดสินบน ข้าราชการโกง บลาบลา
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือมีเพิ่มเติม พลีสคอมเม้น

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

จิตป่วยเพราะรัฐไม่รัก


จากกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/36377888?utm_source=facebook&utm_medium=pantip_page&utm_content=Boom&utm_campaign=36377888

อ่านกระทู้ก่อนค่อยอ่านความเห็นเรา

เราเคยสนใจอยากรู้ว่ามันมีภาวะทางจิตหรืออารมณ์ของคนในสังคม ที่เกิดจาก "ปมด้อย" ที่สังคมมี gap สูงมาก แล้วรัฐไม่สามารถ provide ความเป็นอยู่ที่ดีขั้นพื้นฐานได้ ต้องทะเยอะทะยานจนเหนื่อยเเค่เพื่อจะมีชีวิตที่ดีตามมาตรฐาน คิดฝัน อิจฉา คนรวยกว่า จนเป็นโรคจิตมั้ย

คือเราสังเกตุว่ามันมีคนแบบนี้เยอะมาก คนที่ดูเหมือนไม่มี inner peace เพราะ"ขาด" พูดตรงๆนะ โดยเฉพาะคนที่มาจากครอบครัวยากจน
ส่วนพอเป็นคนพอมีตัง ก็จะมีสภาวะอีกแบบนึง อารมณ์แบบ กูรอดแล้ว และจะมีการอวดรวยในรูปแบบ humbleๆ คือดูเหมือนไม่อวด แต่คืออวด 5555 เช่น การจัดงานบวชใหญ่ๆ โดยไม่จำเป็น เป็นต้น
เพราะสังคมมันมีระดับ มันถูกจัดการให้เป็นแบบนั้น แล้วบริการก็ตามระดับเลย first class / business class / premium economy และ economy 5555 เคยนั่ง economy แล้วอิจฉา first มั้ยล่ะ 555

เราไม่ได้เห็นว่าเป็นแค่คนไทยนะ จากประสบการณ์ ประเทศที่น่าจะป่วยด้วยภาวะเเบบนี้เยอะคือ จีน เราเดาว่าเพราะมันเติบโตเร็วมาก นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มคนรวยใหม่ มีลักษณะประหลาดคือแต่งตัวเว่อวังอลังการ แบบ มันไม่ใช่ไงบางที (กุก็ไม่น่าไปเสือกหรือไปjudgeเค้าหรอก 5555) มีปัญหาก็เอาเงินฟาดๆๆ กูมีตัง นี่แน่ะๆๆๆ แต่จิตสำนึกหรือความเข้าใจต่อความเป็นส่วนรวมมีน้อย เหมือนมีเงินแต่ไม่เคยได้รับการศึกษา คือ มันต้องพยายามมีเงินเยอะๆเท่านั้น เพื่อจะได้ทัดเทียมคนอื่น ประเทศอื่น
(แต่ประเทศที่คน inner peace สูงคือพวก scan พวกประเทศที่สวัสดิการดี  )

ทีนี้ คนเหล่านี้ก็จะมีความ material สูงมาก บูชาเงิน บูชายศ และง่ายมากที่จะถูกหลอกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ (อิอิอิอิ - อันนี้อยากขยายแต่ไม่กล้า) เช่น มี สส มาที่หมู่บ้าน "มาหาเสียง" เขาคุยด้วย ก็ภูมิใจมโนไปว่าสนิทกัน เพื่อจะได้รู้สึกว่า ตัวเองมีฐานะทางสังคมที่ดีขึ้น

เหมือนเด็กที่ขาดความอบอุ่นอะ ก็จะโหยหามัน มีปม

ประชาชนที่ขาดความอบอุ่น(security ด้านต่างๆ) ก็ต้องโหยหามันเป็นธรรมดา บางครั้งอาจจะต้องหลอกตัวเองว่าเรามีความสุข :)